นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานกรรมการ บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ราว 20% หรือ 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 2,500 ล้านบาท (ไม่รวมธุรกิจ I-wave ,Wave TV) โดยการเติบโตจะเป็นไปตามธุรกิจเดิมที่มีอยู่ ซึ่งธุรกิจการศึกษาสถาบันสอนภาษา Wall Street คาดปีนี้จะมีรายได้ราว 730 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน ,ธุรกิจร้านอาหาร Jeffer Steak คาดมีรายได้ราว 750 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีกก่อน และธุรกิจสื่อบันเทิง Index Creative Village คาดมีรายได้ราว 1,500 ล้านบาท เติบโต 30%
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 46 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการขยายสาขา Wall Street เพิ่มอีก 1 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 10 สาขา คาดใช้เงินลงทุนราว 14 ล้านบาท และขยายสาขา Jeffer Steak เพิ่มอีกราว 6-8 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 80 สาขา คาดใช้เงินลงทุน 4 ล้านบาทต่อสาขา
บริษัทยังตั้งเป้าหมายการขยายสาขาธุรกิจการศึกษาใน 3-5 ปีข้างหน้า (ปี 59-63) จะอยู่ที่ 20 สาขา โดยมีความสนใจที่จะขยายสาขาไปยังประเทศกลุ่มอินโดไชน่าเพิ่มเติมอีก คาดน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และธุรกิจอาหารร้าน Jeffer Steak ตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปี (ปี 59-63) จะมีทั้งสิ้น 200 สาขา
นอกจากนี้ บริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการธุรกิจอาหารในประเทศ จำนวน 2 แบรนด์ ซึ่งมองขนาดของธุรกิจจะเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า ร้าน Jeffer Steak แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ส่วนธุรกิจสื่อบันเทิง Index Creative Village ในปีนี้จะมีงาน Event เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยงานที่ใหญ่ คือ การจัดสถานที่ให้กับงาน Expo 2017 Energy of the Future in Astana the Capital of Kazakhstan ในวันที่ 10 มิ.ย.-10 ก.ย.60 ขณะที่การจัดคอนเสิร์ตปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ 5 งาน และ Wave TV ปีนี้น่าจะผลิตละครได้จำนวน 2 เรื่อง
สำหรับการลงทุนใน บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ที่บริษัทฯถือหุ้นอยู่ 10% ปัจจุบันได้มีกองทุนต่างประเทศ และบริษัทบางแห่ง สนใจเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว แต่บริษัทยังไม่มีแผนจะขายหุ้น TSE ในขณะนี้ เพราะต้องการรอให้มีผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่านี้ก่อน ซึ่ง TSE มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าภายใน 4 ปี ไม่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันในประเทศมีอยู่ 121 เมกะวัตต์ และญี่ปุ่นมีอยู่ 36 เมกะวัตต์ เชื่อว่าจะทำให้มูลค่าหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัทฯ
"ปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนการถือหุ้นใน TSE 10% ซึ่ง TSE มีมาร์เก็ตแคป 10,000 ล้านบาท ทำให้เรามีสัดส่วนในมาร์เก็ตแคปประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากบริษัทฯขายหุ้นดังกล่าว จะส่งผลให้หนี้สินที่มีอยู่ในบริษัทฯหมดลง และไม่มีหนี้สินต่อทุน แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯมองว่าในอนาคต TSE ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จากแผนกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นออกไปในขณะนี้ แต่จะเป็นเรื่องของอนาคต"นายแมททิว กล่าว