นางสุวรรณา พุทธประสาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมในกลุ่มบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 60 มาที่ระดับ 2.2 พันล้านบาท จากระดับ 1.75 พันล้านบาทในปีก่อน หรือเติบโต 25% จากปีก่อน เป็นผลจากจากแนวโน้มของอัตราการเข้าพักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนมาอยู่ที่ 80% จากภาคการท่องเที่ยวไทยที่ขยายตัว ซึ่งภาครัฐประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้จะเพิ่มเป็น 35 ล้านคน จาก 32 ล้านคนในปีก่อน
สำหรับผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญเริ่มผ่อนคลายลงและมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มีคุณภาพมากขึ้นเดินทางกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง และในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ช่วยชดเชยนักท่องเที่ยวจากยุโรปที่มีจำนวนลดลง
นอกจากนี้บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้จากการเปิดให้บริการโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 ได้เต็มปี ซึ่งคาดว่าปีนี้ โรงแรมดังกล่าวจะทำรายได้อยู่ที่ 420 ล้านบาท หลังจากที่แนวโน้มการเข้ามาพักของนักท่องเที่ยวในโรงแรมดังกล่าวเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งในไตรมาส 1/60 คาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท 55 จะอยู่ที่ 65% และเพิ่มขึ้นเป็น 80% ได้ในช่วงไตรมาส 2/60 ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของประเทศไทย
ส่วนการปรับขึ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยในปีนี้คาดว่าจะปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง หลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือ ปี 58 และ 59 ได้ปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งปีก่อนได้ปรับขึ้นอัตราค่าห้องราว 7-8% ทำให้อัตราค่าห้องพักในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท/ห้อง/คืน ซึ่งในปีนี้การปรับราคาห้องพักขึ้นจะปรับขึ้นต่ำกว่า 7-8% ในปีก่อน
ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์" อยู่ทั้งหมด 4 แห่ง คือ เทอมินอล 21, เพลินจิต, ราชดำริ และสุขุมวิท 55 มีจำนวนห้องพักรวม 1,700 ห้อง และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมลงทุนโรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ แห่งใหม่ในพัทยา จำนวนห้องพัก 400 ห้อง และมีสวนน้ำ 1 แห่ง คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 61 หรือต้นปี 62
โรงแรม แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ แห่งใหม่ในพัทยา จะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้จำนวน 5 พันล้านบาท จากงบลงทุนรวมทั้งหมดที่บริษัทตั้งไว้ในปีนี้จะใช้ 7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนที่ใช้ไปเพียง 2 พันล้านบาท ส่วนเงินลงทุนที่เหลืออีก 2 พันล้านบาทในปีนี้ จะเตรียมไว้สำหรับการมองหาซื้อหรือเช่าที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยจะเน้นที่ดินในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินที่พิจารณาอยู่ 1-2 แปลง