นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นทั้งในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือร่วมลงทุน (Joint Venture) เพื่อเข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศต่าง ๆ 2-3 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงานในอนาคตที่จะยกระดับบริษัทขึ้นสู่ระดับภูมิภาค โดยสนใจตั้งสำนักงานในฮ่องกง ,จีน และอาเซียน คาดว่าภายใน 4-5 ปีจากนี้น่าจะเห็นความชัดเจนได้
ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมด้านการลงทุน เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังอยู่ในระดับต่ำ 0.2 เท่า ซึ่งยังสามารถกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินเพิ่มได้อีกมาก
นายชูเดช กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตราว 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 1,035.64 ล้านบาท ถือได้ว่าจะเป็นการเติบโตที่สูงสุดของการดำเนินงานในรอบ 24 ปี ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของปริมาณงานบริการทุกช่องทาง และยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของบริษัท Sun Express Logistics Pte.Ltd. (SEL) ประเทศสิงคโปร์ เข้ามาเต็มปีเป็นปีแรกราว 330 ล้านบาท และทำให้สัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจาก Sea Freight ราว 45%, Air Freight 35% และ Logistics 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 50:28:22 ตามลำดับ
อนึ่ง WICE เข้าซื้อกิจการ SEL ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เน้นให้บริการทางอากาศในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลก โดยบ WICE เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 70%
นายชูเดช กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทวางแผนทำการโปรโมทงานด้านขนส่งทางอากาศเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ต่อยอดการบริการ และเปิดโอกาสการเติบโตในตลาดต่างประเทศและกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้มีโอกาสในการขยายฐานลูกค้าในอนาคต คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/60 น่าจะได้เห็นความชัดเจนของปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น
ส่วนงานบริการนำเข้าส่งออกทางทะเล (Sea Freight) ,งานบริการพิธีการศุลกากร ,งานขนส่งในประเทศ และงานบริหารจัดการคลังสินค้า ยังมีสัญญาณการเติบโตที่ดีมากขึ้น และจากโครงการแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastem Economics Corridor) หรือ EEC ที่ใช้เงินลงทุนมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาทในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บนพื้นที่ภาคตะวันออกภายในระยะเวลา 5 ปี (60-64) จะส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์ในเขตพื้นที่ดังกล่าวมีการขยายตัวอย่างมากในอนาคต และส่งผลดีต่อธุรกิจของ WICE ด้วยเช่นกัน
บริษัทวางงบลงทุนในปีนี้ที่ 230 ล้านบาท แบ่งเป็น 200 ล้านบาทใช้สร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมขนาด 9,000-10,000 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดหาที่ดินและออกแบบ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จช่วงปลายปี 61 เพื่อรองรับลูกค้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจุบันมีลูกค้าใหม่เข้ามาจำนวนมากหลังต่างชาติย้ายฐานการผลิตจากจีนและเกาหลีเข้ามาในไทย เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยการเติบโตของรายได้จากคลังสินค้า การขนส่งทางเรือ และการขนส่งทางอากาศ ส่วนงบลงทุนอีก 30 ล้านบาทจะใช้ซื้อรถหัวลากใหม่เพื่อรองรับงานที่เพิ่มขึ้น