นายสาธิต สุดบรรทัด กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/60 ว่า รายได้จะเติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่เติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้บริษัทฯมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงถึง 85-90% จากสิ้นปี 59 อยู่ที่ 80% ซึ่งเป็นไปตามช่วงไฮซีซั่น
ทั้งนี้ จากแนวโน้มผลประกอบการ และภาพรวมเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯจึงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 59 ที่มีรายได้ 4,160.85 ล้านบาท และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 25-27% ใกล้เคียงปีก่อน และตั้งเป้าที่จะใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีที่ 80% ใกล้เคียงกับปีก่อนเช่นกัน
ในปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อขยายงานด้านต่างๆ ซึ่งส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของฝ่ายโรงงานและลดการสูญเสียในขั้นตอนการผลิต รวมถึงบริหารจัดการภายในให้สอดคล้องกับทิศทางการทำตลาดและเป้าหมายการดำเนินงานในแต่ละปีให้เติบโตได้ตามแผน โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ราว 700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพียงพอ
นายสาธิต กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตสินค้า ที่มีเป้าหมายต้องการยกระดับมาตรฐานการผลิตในโรงงานที่จังหวัดสระบุรี ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตสินค้า ลดความเสียหายของเครื่องจักรและลดอุบัติเหตุภายในโรงงาน โดยนำระบบตัวชี้วัดประสิทธิภาพและการทำงานของเครื่องจักรเข้ามาใช้ พร้อมทั้งสำรวจความสูญเสียที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการผลิต ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ดี
บริษัทฯ จึงได้นำระบบไคเซน ซึ่งเป็นแนวคิดบริหารจัดการด้านกระบวนการผลิตสินค้า มาใช้ภายในโรงงานของ DRT ที่มุ่งเน้นให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมนำเสนอแนวทางปรับปรุงวิธีการทำงานเพื่อลดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแต่ละหน่วยงานที่ดีขึ้น ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาสามารถลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตของสายการผลิตหลังคาไฟเบื้องซีเมนต์ หลังคาคอนกรีตและอิฐมวลเบา คิดเป็นมูลค่ารวม 63.85 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นบริหารจัดการปริมาณสินค้าคงคลังเพื่อรอการขาย ให้สอดคล้องกับความต้องการในช่วงฤดูกาลขายสินค้าและเพียงพอต่อปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าในช่วง 30 วันข้างหน้าและปรับลดระยะเวลารอรับสินค้าเพื่อเพิ่มความพึ่งพอใจแก่ลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบริหารการใช้พื้นที่จัดเก็บสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยบริหารกระแสเงินสดให้มีสภาพคล่องที่เหมาะสม
นายสาธิต กล่าวว่า ส่วนในปี 61 ยังคงตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เป็น 15% จากปัจจุบัน 12% และขยายตลาดส่งออกให้มากขึ้นมีสัดส่วน 20% จากปัจจุบัน 18% โดยเฉพาะตลาดหลักที่บริษัทส่งออกไปถึง 70-80% คือ CLMV ในขณะเดียวกันยังจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าโครงการขึ้นเป็น 15% จากปัจจุบัน 11% เนื่องจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ