โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) งบดุลแข็งแกร่งและปรับตัวดีขึ้น โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 น่าจะได้ประโยชน์จากการตั้งสำรองฯลดลง หลัง NPL น่าจะชะลอการเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อยังทรงตัว ส่วนการปล่อยสินเชื่อคงจะมีมากขึ้นในไตรมาส 2-4/60 จากโครงการภาครัฐฯ
ดังนั้น ผลการดำเนินงานของ SCB ในปีนี้คาดว่าจะออกมาดูดีกว่าคู่แข่ง โดยคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวเร่งขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าสูงจำนวนมากคาดว่าจะได้เริ่มต้นอย่างจริงจัง
พร้อมคาดกำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ในช่วง 51,180-51,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีกำไรสุทธิ 47,612 ล้านบาท เป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้ฯที่ลดลงหลังคลายกังวลเรื่อง NPL ขณะที่สินเชื่อคาดเติบโตดีขึ้น เช่นเดียวกับค่าธรรมเนียม แม้ว่า PromptPay อาจส่งผลกระทบต่อแบงก์บ้างแต่เชื่อว่าไม่มากนัก ส่วนการลงทุนก็อาจมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี
สำหรับกรณีที่ AIA Group และ Manulife เป็นหนึ่งในผู้เสนอซื้อ SCB Life จากธนาคารไทยพาณิชย์ หากมีการขายจริงก็จะทำให้ SCB ได้กำไรพิเศษก้อนโต เพราะ SCB ซื้อมาในราคาที่ต่ำ โดยหากขายหุ้นจำนวน 49% ในครั้งนี้จะให้กำไรพิเศษแก่ SCB สูงถึง 35,000 ล้านบาท หลังหักภาษี (60% ของกำไรสุทธิปี FY60)
ราคาหุ้น SCB ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 155.00 บาท เพิ่ใขึ้น 0.50 บาท (+0.32%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเชีย เวลท์ ซื้อ 185 อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ซื้อ 176 กรุงศรี ซื้อ 170 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 169 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 161 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ SCB ในไตรมาส 1/60 น่าจะได้ประโยชน์จากการตั้งสำรองฯที่ลดลง เนื่องจากมองว่าความเสี่ยง NPL อาจชะลอการเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถคลายความกังวลเรื่องการตั้งสำรองฯไปได้ ขณะที่สินเชื่อคงจะยังทรงตัว แต่การปล่อยสินเชื่อจะมีมากขึ้นในไตรมาส 2-4 จากโครงการภาครัฐฯ สำหรับเรื่องค่าธรรมเนียม PromptPay อาจส่งผลกระทบต่อแบงก์บ้าง แต่อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรสุทธิของ SCB ทั้งปี 60 จะเติบโต 9% มาอยู่ที่ 51,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีกำไรสุทธิ 47,600 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการตั้งสำรองหนี้ฯที่ลดลงหลังคลายกังวลเรื่อง NPL ขณะที่สินเชื่อคาดว่าจะเติบโต 4-5% และค่าธรรมเนียมก็ยังคงเติบโตได้ดี ส่วนการลงทุนก็อาจมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนด้านเทคโนโลยี สำหรับประเด็นเรื่อง SCB Life นายธนเดช กล่าวว่า ก็มีกระแสข่าวออกมาว่าจะขาย แต่ทางผู้บริหารก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว ซึ่งหากมีการขายจริงก็จะทำให้ SCB ได้กำไรพิเศษก้อนโต เพราะ SCB ซื้อมาในราคาที่ต่ำ และหากขาย SCB Life แล้ว ทาง SCB ก็จะได้ Capital คืนมา แล้วอาจจะทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายประกันอย่างเดียวโดยผ่านสาขาของ SCB หรือจะร่วมถือหุ้นด้วย อย่างไรก็ดี หากขายก็ต้องดูว่าจะขายในสัดส่วนเท่าใดและขายราคาเท่าใด เพราะปัจจุบัน SCB ถือหุ้นใน SCB Life เกือบ 100% ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น SCB ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะออกมาดูดีกว่าคู่แข่ง ผลักดันจากภาคธุรกิจรายย่อย สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคคาดจะเติบโตต่อเนืองในอัตราทีเร็วขึนกว่าสินเชื่อเพื่อภาคธุรกิจ ซึ่งมีการแข่งขันที่สูงในตลาดตราสารหนี้ รวมถึงเติบโตสูงกว่าสินเชือเพือภาค SME ทีถูกกดดันจากสภาวะทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งมาจากภาคการส่งออกที่อ่อนแอ สำหรับเรื่องที่ทาง Bloomberg เคยรายงานว่า AIA Group และ Manulife เป็นหนึ่งงในผู้เสนอซื้อ SCB Life จากธนาคารไทยพาณิชย์ โดยรายชื่อผู้เสนอซื้อจะถูกรวบรวมภายในเดือนนี้ การขายหุ้นจำนวน 49% ในครั้งนี้จะให้กำไรพิเศษแก่ SCB สูงถึง 35,000 ล้านบาท หลังหักภาษี (60% ของกำไรสุทธิปี FY60) อย่างไรก็ตาม ทาง SCB ระบุว่าเพียงแต่ต้องการมองหาผู้ร่วมลงทุนเท่านั้น ไม่มีความตั้งใจจะขายหุ้นทั้งหมด ซึ่งมูลค่าของ SCB Life ถูกบันทึกเพียง 12,000 ล้านบาทเท่านั้น สมมุติว่า SCB ขายหุ้น 49% ในบริษัทประกันตามราคาที่บันทึก คาดว่า SCB จะทำกำไรหลักหักภาษีได้สูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 60% ของประมาณการกำไรในปี 60 โดยรายได้พิเศษจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปเพิ่ม coverage ratio ส่วนบล.เอเชีย เวลท์ แนะ"ซื้อ"หุ้น SCB เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่งและปรับตัวดีขึ้น จึงน่าจะมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ในอนาคต ซึ่งจะไม่เป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการขยายสินเชื่อของธนาคาร โดยคาดว่าสินเชื่อของ SCB ในปี 60 จะขยายตัวเร็วขึ้นกว่าปีก่อนในอัตรา 8% เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าสูงจำนวนมากคาดว่าจะได้เริ่มต้นอย่างจริงจัง โดยประมาณการกำไรสุทธิของธนาคารว่าจะกลับมาสู่ระดับปกติและจะเพิ่มขึ้น 8.8% ในปี 60 โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 51,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีกำไรสุทธิ 47,612 ล้านบาท