ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์อันยาวนานของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศไทย ตลอดจนความสำเร็จในการขยายสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัด และความสามารถในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัท ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงความนิยมของลูกค้าจากร้านค้าปลีกแบบเก่ามาเป็นร้านค้าปลีกสมัยใหม่ยังคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนอันดับเครดิตด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีวงจรเงินสดที่ค่อนข้างยาว การแข่งขันที่รุนแรงในกลุ่มผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ตลอดจนกำลังซื้อของฐานลูกค้าของบริษัทซึ่งมีความอ่อนไหวสูงต่อภาวะเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงราคาพืชผลทางการเกษตร
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ต่อไป พร้อมทั้งคาดว่าบริษัทจะควบคุมต้นทุนและรักษาความสามารถในการทำกำไรในขณะที่มีการขยายสาขาต่อไปได้
ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยการลดวงจรเงินสดและเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรและรักษาเงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ให้อยู่ระดับที่ดี ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง
GLOBAL เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการค้าปลีกชั้นนำของไทยที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านในรูปแบบคลังสินค้า บริษัทก่อตั้งในปี 2540 โดยนายวิทูร สุริยวนากุล และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2552 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2555 บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นเต็ม 100% โดย บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2559
ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วยตระกูลสุริยวนากุล (37.61%) และบริษัทเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น (30.02%)
สาขาแห่งแรกของบริษัทตั้งอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ก่อตั้ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 46 สาขา และมีพื้นที่ขายรวม 1,045,281 ตารางเมตร (ตร.ม.) บริษัทจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่หลากหลายซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และสินค้าตกแต่งบ้านรวมประมาณ 140,000 รายการ โดยมีการจัดแต่งรูปแบบร้านในแนวคลังสินค้าขนาดใหญ่และมีพื้นที่ขายเฉลี่ยต่อสาขาขนาด 22,000 ตร.ม. ล่าสุดบริษัทมีการติดตั้งระบบการจัดการสินค้าคงเหลือใหม่ซึ่งเรียกว่าระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าและลดพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า ซึ่งช่วยให้สาขาใหม่สามารถลดขนาดลงเหลือประมาณ 15,000 ตร.ม.
ในปี 2559 การฟื้นตัวที่เป็นไปอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจไทยส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนยังคงอ่อนแออยู่โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ปี 2559 ซึ่งอยู่ในบรรยากาศการถวายความอาลัยฯ ซึ่งส่งผลให้ยอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2559 และหดตัวลง 2.3% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2559
แม้ว่ายอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะปรับตัวลดลง แต่กำไรของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง โดยรายได้รวมของบริษัทเติบโต 11.8% มาอยู่ที่ระดับ 18,857 ล้านบาทในปี 2559 จากการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ที่เปิดดำเนินการในปี 2558-2559 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 15% ในปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 11.4% ในปี 2558
การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายนั้นเกิดจากการที่บริษัทได้รับส่วนลดเงินสดเพิ่มขึ้นจากการสั่งซื้อสินค้าในปริมาณที่มากขึ้น นอกจากนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและการที่บริษัทมีการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเองซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้าอื่นในท้องตลาดยังเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ช่วยทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น
บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 43% จาก 1,613 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 2,307 ล้านบาทในปี 2559 นโยบายในการเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อสินค้าเพื่อได้รับส่วนลดเงินสดเพิ่มมากขึ้นและระดับราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นส่งผลทำให้ระดับสินค้าคงเหลือรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น วงจรเงินสดของบริษัทจึงยาวขึ้น โดยวงจรเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 195 วันในปี 2559 จาก 142 วันในปี 2558 ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนสำหรับสินค้าคงเหลือของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 32.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 จาก 24.1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2558 แม้ว่าระดับหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เงินสดส่วนเกินที่รองรับการชำระหนี้ของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดี อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 16.8 เท่าในปี 2559 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 13.34 เท่าในปี 2558 และ 12.6 เท่าในปี 2557 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมยังคงอยู่ในระดับปานกลางที่ 29.5% ในปี 2559 จากระดับ 32.5%-34.1% ในปี 2557-2558
บริษัทวางแผนใช้เงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2560-2562 โดยจะเปิดสาขาทั้งหมด 8 แห่งต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ซึ่งจะช่วยลดจำนวนพนักงานในคลังสินค้าลง อีกทั้งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้าคงคลังและคาดว่าจะช่วยทำให้วงจรเงินสดของบริษัทสั้นลงด้วย บริษัทได้ประกาศที่จะขยายการดำเนินงานในประเทศกัมพูชาหลังจากที่ได้ลงทุนใน Souvanny Home Center ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกชั้นนำที่จำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยบริษัทและผู้ร่วมทุนในประเทศกัมพูชาได้ร่วมกันก่อตั้ง Global House Cambodia Co., Ltd. และ Global House Estate Co., Ltd. เพื่อดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านในประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ บริษัทจะถือหุ้น 55% และ 49% ในบริษัททั้ง 2 แห่งดังกล่าวตามลำดับ บริษัทตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ที่ 200 ล้านบาท สำหรับการลงทุนครั้งนี้
แม้ว่ายอดขายจากสาขาเดิมของบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากความเปราะบางในการฟื้นตัวของกำลังซื้อของผู้บริโภคในต่างจังหวัดจากการที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวช้า แต่ความสำเร็จในการขยายตลาดในพื้นที่ใหม่โดยการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายโดยรวมของบริษัทได้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องโดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของตนเอง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 2,200-2,500 ล้านบาทต่อปี ในกรณีฐานการขยายสาขาและการสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่จะทำให้ระดับหนี้สินของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น แต่คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าและอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงอยู่ที่ระดับ 12-14 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 25%-30% ในปี 2560-2562