นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้มีทิศทางซึมตัวลง หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงหลุดระดับ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะกดดันต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน แต่ยังคงมีความกังวลต่อการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ รวมถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ก็กระตุ้นให้เงินทุนไหลออกต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดยังจับตาการประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.พ.ของสหรัฐในคืนนี้ ซึ่งจะเป็นสิ่งยืนยันว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้าหรือไม่
ส่วนผลประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อวานนี้ที่ยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามในวันนี้จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่ง ได้แก่ CPN,TKN,SIRI,UNIQ เป็นต้น ซึ่งจะมีผลให้ดัชนีปรับลดลงราว 0.7 จุด
พร้อมให้แนวรับ 1,545 และ 1,535 จุด แนวต้าน 1,560-1,562 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (9 มี.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,858.19 จุด เพิ่มขึ้น 2.46 จุด (+0.01%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,838.81 จุด เพิ่มขึ้น 1.26 จุด (+0.02%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,364.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.89 จุด (+0.08%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 256.76 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.02 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 33.42 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 4.82 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 2.39 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.09 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.08 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 2.73 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (9 มี.ค.60) 1,549.24 จุด ลดลง 2.49 จุด (-0.16%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 325.05 ล้านบาท เมื่อวันที่ 9 มี.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (9 มี.ค.60) ปิดที่ 49.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (9 มี.ค.60) ที่ 5.72 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.40/42 อ่อนค่าต่อเนื่องตามภูมิภาคจากดอลล์แข็งหลังนักลงทุนมั่นใจเฟดขึ้นดอกเบี้ย
- รมว.คลังสั่งกรมสรรพากรหาช่องทางกฎหมายเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปก่อนสิ้นอายุความยันกรณีดังกล่าวไม่กดดันการทำงาน เพราะเป็นหน้าที่ปกติในการจัดเก็บรายได้ของสรรพากร พร้อมตั้งกรรมการสอบหากพบความผิดปกติในการทำหน้าที่
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอรัฐบาลให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ซึ่งจะสิ้นสุดระยะในวันที่ 30 ก.ย. 2560 นี้ ออกไปอีก 1 ปี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะหากมีการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงนี้จะกระทบการบริโภค และทำให้เศรษฐกิจขยายตัวชะงักได้
- รมว.คลัง ระบุยื่นไฟลิ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.)เพื่อจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว นำโครงการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) 2 เส้นทาง วงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท เป็นสินทรัพย์เพื่อเปิดขายนักลงทุนและเป็นการระดมทุนมาใช้ดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ สร้างทางด่วนพระราม 3 -ดาวคะนอง
- รมว.คมนาคม ระบุตามแผนพัฒนาระบบขนส่งทางรางของไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า ระบบรางของไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 กิโลเมตร จากปัจจุบันมีความยาวรวม 4,070 กิโลเมตร ส่งผลให้ไทยมีระบบราง 10,000 กิโลเมตร
- ธปท.ระบุการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 14-15 มี.ค.ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ป็นเรื่องที่ตลาดรับรู้อยู่แล้วมาระยะหนึ่ง แต่เมื่อความชัดเจนขึ้นในการประชุมแต่ละรอบก็อาจจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง ซึ่งขณะนี้ตลาดก็ค่อนข้างเชื่อมั่น 100% ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ทยอยปรับการลงทุนไปบ้างแล้ว แต่หากเฟดปรับขึ้นจริงก็ถือว่าเหนือความคาดหมายเดิมของ ธปท.ที่ประมาณการไว้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ 2 ครั้ง หรืออย่างมาก 3 ครั้งในครึ่งปีหลังของปีนี้ทั้งหมด แต่ก็เชื่อว่าจะกระทบต่อตลาดการเงินไทยไม่มากนัก
- กรมธนารักษ์เตรียมเปิดอีก 4 พื้นที่ สร้างบ้าน ประชารัฐและซีเนียร์ คอมเพล็กซ์ "จ.เชียงใหม่ ชลบุรี นครนายก และประจวบคีรีขันธ์" โดยมีแผนจะเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบภายในเดือนมี.ค.นี้ คาดโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่เข้าร่วมพัฒนา
*หุ้นเด่นวันนี้
- WORK (ไอร่า) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 58.50 บาท คาดรักษาเรตติ้งเฉลี่ยประมาณ 1.5 ซึ่งสูงกว่าเป้าทั้งปีของบริษัทเอง รวมถึงเป็นโอกาสให้ปรับเพิ่มค่าโฆษณา ประกอบกับรายได้จากช่องทาง online ทั้ง Youtube และ Facebook คาดจะเติบโตอย่างมาก ทำให้ยังคงคาดว่าจะสามารถเติบโตในปี 60 ได้ในระดับสูง ประมินกำไรปี 60 ที่ 462 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 1.11 บาท เติบโต 133% และมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ยอีก 3 ปีข้างหน้าที่ 50%
- CPF (ธนชาต) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาพื้นฐาน 36 บาท แม้จะปรับกำไรปี 60-64 ลงเฉลี่ย 14% สะท้อนราคาหมูที่อ่อนตัว และดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ยังมองกำไรโตดี 16% ต่อปีช่วง 60-62 จากราคาไก่สูง, ธุรกิจกุ้งฟื้นตัว, และธุรกิจในตุรกีดีขึ้น
- ROBINS (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ"ราคาพื้นฐาน 76 บาท การพบผู้บริหารวานนี้ทำให้ยังเชื่อมั่นว่าประมาณการกำไรปกติที่คาดปีนี้โต 22% Y-Y ปีหน้าโต 16% Y-Y มีความเป็นไปได้สูง การเติบโตไม่ได้มาจากการเน้นเปิดสาขา แต่เน้นเพิ่มอัตรากำไรโดยปรับ Product mix เพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand และ International brand จาก 11% ในปีก่อนให้เป็น 14% ในปีนี้ และตั้งเป้า 20% ในปี 63 เน้นการทำกำไรจากช่องทาง on line ให้มากขึ้น ซึ่งคิดว่ามาถูกทาง ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น PE 22 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่อยู่ที่ 27 เท่า