BJC คาดรายได้รวมปี 60 จะสูงกว่าปีก่อนทีทำได้ 1.37 แสนลบ.หลังจากรับรู้รายได้ BIGC เข้ามาเต็มปี-ปรับกลยุทธ์การให้บริการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday March 11, 2017 10:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มรายได้รวมปี 60 จะสูงกว่าปีก่อนทีทำได้ 1.37 แสนล้านบาท หลังจากรับรู้รายได้ของบมจ.บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) เข้ามาเต็มปี ประกอบกับการปรับกลยุทธ์การให้บริการของบิ๊กซีโดยเน้นความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการและซื้อสินค้าในบิ๊กซีเพิ่มขึ้น

ด้านธุรกิจหลักของ BJC ได้แก่ ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ในปีนี้ยังมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เพราะยังมีลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภค สั่งผลิตบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น หลังจากเห็นการสัญญาณการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ ขณะที่ยอดขายของสินค้าอุปโภคบริโภคภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัทก็มีการเติบโตเช่นเดียวกัน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศ

ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของบิ๊กซีในปีนี้คาดว่าจะกลับเข้ามาอยู่ที่ระดับ 16% จากปีก่อนที่ 14.7% หลังจากบริษัทยกเลิกการจำหน่ายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ และการปรับกลยุทธ์การขายสินค้าใหม่ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของ BJC คาดว่าจะอยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 17.2% เพราะราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยซึ่งยังไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่การลงทุนในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ 1-1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนของ BJC อยู่ที่ 3-4 พันล้านบาท เพื่อในการลงทุนเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ และส่วนที่เหลืออีก 6-7 พันล้านบาท จะใช้สำหรับการขยายสาขาบิ๊กซี โดยแบ่งเป็นการขยายสาขาบิ๊กซีในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต เพิ่มอีก 9 สาขา สาขาบิ๊กซีมาร์เก็ตเพิ่มอีก 4 สาขา และสาขามินิบิ๊กซีอีก 300 สาขา จากปัจจุบันที่มีสาขารวมทั้งสิ้นกว่า 800 สาขา

อีกทั้งบริษัทยังศึกษาที่จะขยายสาขาบิ๊กซีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่าภายในปี 61 จะมีการเปิดสาขาในประเทศลาวและกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันมองทำเลที่จะเปิดสาขาในประเทศดังกล่าวแล้วจำนวน 20 แห่ง โดยบริษัทเล็งเห็นว่าใน 2 ประเทศดังกล่าว นั้นรู้จักแบรนด์บิ๊กซีในประเทศไทยเป็นอย่างดี และมีการอุปโภคและบริโภคสินค้าที่มาจากประเทศไทยอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงบริษัทได้สิทธิการเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศแล้ว ทำให้สามารถเริ่มลงทุนได้ทันที

ส่วนการออกหุ้นกู้ของบริษัทที่เตรียมเสนอขายวงเงิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะเสนอขาย 3.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการแสดงความสนใจซื้อจากนักลงทุนมากกว่าวงเงินที่เสนอขายในตอนแรกทำให้บริษัทต้องเพิ่มวงเงินเสนอขายหุ้นกู้อีก 5 พันล้านบาท โดยนักลงทุนที่สนใจซื้อหุ้นกู้มีทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในอนาคต

ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวมีอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยมีกำหนดจองซื้อได้ตั่งแต่วันที่ 21-23 มีนาคม 60 ผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทยและบล.ภัทร

โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นการออกหุ้นกู้ครั้งที่ 3 โดยจะมีวงเงินรวมทั้งหมด 1.22 แสนล้านบาทภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งบริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ ที่เข้าซื้อกิจการบิ๊กซีและทำให้ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยลดลง 0.2-0.3% จากปัจจุบันต้นทุนทางการเงินของบริษัทอยู่ที่ 3% อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มในขณะนี้เพราะบริษัทจะเน้นการลดภาระหนี้และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนบิ๊กซีกลับมา อีกทั้งยังเน้นการขยายสาขาบิ๊กซีให้ครอบคลุม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ