นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) เปิดเผยว่า บริษัทคว้าสิทธิเป็นผู้แทนจำหน่าย และให้บริการหลังการขายสินค้านวัตกรรม“ระบบอัจฉริยะเพิ่มอายุแบตเตอรี่"รายเดียวในประเทศไทย โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ภายในไตรมาส 2/60 ตั้งเป้ารายได้ปีแรกที่ 10 ล้านบาท โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาขายระบบดังกล่าวให้กับผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหญ่ 2 ราย
บริษัทมีเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่จำเป็นที่จะต้องสำรองไฟเป็นจำนวนมากเพื่อฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) หรือใช้สำหรับอุปกรณ์ระบบขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญที่ต้องการสำรองไฟในปริมาณที่สูง เช่น กลุ่มผู้ประกอบการโทรคมนาคม (Operator), กลุ่มสื่อสาร (สถานีโทรทัศน์ต่างๆ), ธนาคาร, และหน่วยงานราชการต่าง ๆ เป็นต้น โดยบริษัทฯเตรียมงบลงทุน 20 ล้านบาท เพื่อใช้ในการทำการตลาดและสต็อกสินค้า
นอกจากนั้น ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ศึกษาแผนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง และได้เซ็นบันทึกข้อตกลงทำความเข้าใจ (MOU) กับหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อเตรียมเข้ายื่นประมูลขายไฟฟ้า (PPA) ให้กับภาครัฐตามโครงการที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ คือ โซลาร์ฟาร์มส่วนราชการและสหกรณ์ ซึ่งคาดหวังที่จะได้ PPA ราว 5 เมกะวัตต์ โดยบริษัทได้ขออนุมัติกำหนดวงเงินออกหุ้นกู้ไว้แล้ว 1,000 ล้านบาทเพื่อรองรับการลงทุนหากได้รับ PPA ตามแผนงาน
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าผลักดันรายได้ขึ้นไปแตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 62 โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอุปกรณ์ส่องสว่างที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลอดไฟ LED ที่ผู้บริโภคหันมาใช้งานกันมากขึ้น และบริษัทเตรียมขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องทั้งในกลุ่ม CLMV และตะวันออกกลาง โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศขึ้นเป็น 50% หรือที่ 500 ล้านบาท ในระยะเวลา 3-5 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 20%
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตได้ 20% จากปีก่อน 475.90 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มอุปกรณ์ให้แสงสว่าง 15-20 รายการ และเตรียมทดลองแผนการตลาดเชิงรุกในตลาดกัมพูชา คาดว่าจะสามารถผลักดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเป็น 25-30% ในปีนี้
ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะกลับมาอยู่ในระดับ 5% หลังจากอยู่ในระดับต่ำมาตั้งแต่ปี 56 และค่อย ๆ ขยับขึ้นมาที่ 0.98% เนื่องจากบริษัทได้พยายามปรับโครงสร้างภายใน และการบริหารจัดการต้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้อัตรากำไรสุทธิจะกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ในปีนี้