นายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 เติบโต 7-9% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นกว่าปีก่อนที่เติบโต 4% จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวได้ดีขึ้นกว่าปีก่อน ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และแนวโน้มของกำลังซื้อเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกำลังซื้อในต่างจังหวัด หลังราคาพืชผลทางการเกษตรได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนการท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในหัวเมืองท่องเที่ยวหลัก อย่างเช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจ และถือเป็นปัจจัยบวกที่บริษัทได้รับอานิสงส์ไปด้วย
สำหรับภาพรวมของการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.พ. 60) มีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียว โดยยอดขายสาขาเดิมของร้านเอ็มเค สุกี้เติบโต 1% และยอดขายสาขาเดิมของร้านยาโยอิเติบโต 3% โดยในปี 60 บริษัทคาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม จะอยู่ที่ราว 3-3.5% และบริษัทวางแผนการขยายสาขาใหม่เพิ่มในปีนี้อีก 40 สาขา แบ่งเป็น ร้านเอ็มเค สุกี้ 15 สาขา ร้านยาโยอิ 20 สาขา และร้านมิยาซากิ 5 สาขา โดยใช้เงินลงทุนในการขยายสาขาอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสาขาทั้งหมดภายในสิ้นปี 60 เกือบ 700 สาขา
นายฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ด้านการขยายสาขาไปในต่างประเทศบริษัทจะให้สิทธิแฟรนไชส์ร้านอาหารในเครือ แก่พันธมิตรในต่างประเทศที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ ซึ่งจะเปิดสาขาในต่างประเทศในรูปแบบแฟรนไชส์ในปีนี้อีก 4-5 สาขา โดยจะยังอยู่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมีสาขาอยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว สิงคโปร์ และยังมองถึงโอกาสในการขยายสาขาในกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถจับคู่กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจในธุรกิจอาหารอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายระยะยาวในอีก 7 ปีข้างหน้า (ปี 60-67) จะมีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,000 สาขา จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งหมดกว่า 600 สาขา โดยตั้งเป้าขยายสาขาเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 40 สาขา/ปี เพื่อเป็นการกระจายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศและเพื่อการเติบโตของบริษัท พร้อมกับมองหาโอกาสการซื้อกิจการร้านอาหารของต่างประเทศเข้ามาเพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจและเพื่อการขยายตลาดไปในต่างประเทศได้รวดร็วมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ โดยมีกระแสเงินสดที่อยู่ในระดับสูงกว่า 9 พันล้านบาท
"เราก็มองโอกาสที่จะทำแบรนด์ใหม่หรือซื้อแบรนด์ร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามา เพื่อเสริมให้บริษัทเติบโตขึ้นได้ในระยะยาว และมีความหลากหลายของธุรกิจมากขึ้น แต่ที่ผ่านมา ผมพยายามมองคู่ค้าและพันธมิตรที่เราสนใจจะไปซื้อมาหลายรายแล้วทั้งในและต่างประเทศ 10 กว่าแบรนด์ แต่คุยมาหลายปีก็ไม่ลงเอยกันสักที อาจเป็นเพราะเราทำธุรกิจแบบ conservative อะไรที่มันเสี่ยงมากเราก็ไม่ทำ ถ้าซื้อมาแล้วมีปัญหาหรือไม่มีคุณภาพเราไม่ทำดีกว่า เพราะปัจจุบันแบรนด์ของเราก็ถือว่ามีความแข็งแรงมาก ตอนนี้ถ้าอยากจะซื้อจะเน้นไปที่แบรนด์ต่างประเทศมากกว่า เพราะเราอยากขยายตลาดให้ได้มากขึ้นและเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์ และมาเสริมให้กับแบรนด์ที่เรามีอยู่ด้วย พวกฟาสต์ฟู้ด ร้านขนม ร้านกาแฟ เราก็มีดูๆอยู่"นายฤทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบัน แบ่งเป็น สัดส่วนรายได้จากร้านเอ็มเค สุกี้อยู่ที่ 80% สัดส่วนรายได้จากร้านยาโยอิอยู่ที่ 18-19% และที่เหลือมาจากแบรนด์อื่นผสมกัน
นายฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทเตรียมแผนรุกธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อเจาะแนวรบธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยที่คาดว่ามีมูลค่าสูงถึง 3.9 หมื่นล้านบาทในปีนี้ โดยบริษัทได้เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ "เอ็มเค ไลฟ์" (MK Live) แฟล็กชิฟ สโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ของมื้ออาหารให้ผู้บริโภค รองรับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าสมัยใหม่ที่ประยุกต์ไลฟ์สไตล์เข้ากับมื้ออาหาร โดยยึดหลักแบรนด์เอ็มเคเป็นหัวใจหลัก ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านธุรกิจอาหารที่ใส่ใจผู้บริโภคและไม่หยุดยั้งการพัฒนา โดยลูกค้าสามารถร่วมเปิดประสบการณ์แห่งความอร่อยบทใหม่พร้อมกันได้ที่ เอ็มเค ไลฟ์ แฟล็กชิฟ สโตร์ สุกี้แห่งแรกของประเทศไทย ที่ชั้น 6 ศูนย์การค้าเอ็ม ควอเทียร์
ปัจจุบัน เอ็มเค กรุ๊ป มีแบรนด์ร้านอาหารในเครือ 8 แบรนด์ ได้แก่ ร้านเอ็มเคสุกี้ ร้านเอ็มเคโกลด์ ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ ร้านมิยาซากิ เทปันยากิ ร้านฮากาตะราเมน ร้านอาหารไทย ณ สยาม ร้านอาหารไทยเลอสยาม และร้านอาหารกาแฟ-เบเกอรี่ อาหารไทยสไตล์ตะวันตก เลอ เพอทิท คาเฟ่ มีจำนวนรวมกันมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ และในทวีปเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย