บมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) คาดว่าในปี 60 รายได้รวมจะเติบโต 15-20% จาก 1.37 หมื่นล้านบาทในปีก่อน และมีกำไรดีกว่าระดับ 172 ล้านบาทในปีก่อน โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นขยับมาที่ 15% จาก 14% หลังควบคุมค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/60 จะได้ข้อสรุปการร่วมลงทุนในโครงการไบโอแมสในเมียนมา 10 MW มูลค่า 1.2 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานภาครัฐ มูลค่า 1.15 หมื่นลบ. คาดได้งานราว 50-60% จากปัจจุบันที่มีปริมาณงานในมือ (Backlog) 8.5 พันล้านบาท
บริษัทยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง ปรับลด-ยุบธุรกิจที่ไม่มีอนาคต คาดลงตัวในช่วงครึ่งหลังของปี และมีแผนนำ 2 บริษัทในกลุ่มธุรกิจเพาเวอร์ และกลุ่มพลังงานทดแทน เข้าตลาดหุ้นอย่างเร็วปีหน้า
นายสุรช ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ LOXLEY กล่าวว่า ในปี 60 กำไรของบริษัทน่าจะดีกว่าปีก่อนที่มี 172 ล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าจะได้อัตรากำไรขั้นต้นที่ 15% สูงจากปีก่อนที่ 14.1% โดยจะโฟกัสธุรกิจที่ทำกำไรอย่างมาก และประหยัดค่าใช้จ่าย หลังจากปีก่อนรายได้เติบโต 20% แต่กำไรไม่เติบโตมากนัก นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเข้ามามากขึ้น
สำหรับรายได้ประจำจากกลุ่มเทรดดิ้งปีนี้คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก จากที่มี 3.4-3.5 พันล้านบาทในปีก่อน ซึ่งสินค้าเด่น ได้แก่ น้ำมันพืชกุ๊ก และ นมหนองโพ รวมทั้งปีนี้จะส่งออกสินค้าไปจีนที่บริษัทร่วมกับ Sinopec เพื่อจำหน่ายในปั๊ม เช่น สินค้าข้าว ซึ่งปีนี้จะขยายเป็น 7,500 แห่งจาก 6,400 แห่งในปีก่อน และจะเพิ่มสินค้าอื่น ๆ เข้าไป เช่น มะขาม ที่นำจากบ้านมะขามที่เป็นเอสเอ็มอีของไทย ส่วนการขายน้ำมันเครื่องของคาสตรอลในเมียนมาที่ได้รับการตอบรับในปีที่แล้ว ปีนี้น่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของยอดขาย
นอกจากนี้ รายได้ประจำจะมาจากกลุ่ม Power ที่แต่ละปีมีรายได้ 1,200- 1,500 ล้านบาท กลุ่มไอที ปีละประมาณ 2,500 ล้านบาท
นายสุรช กล่าวว่า กลุ่มเทคโนโลยียังคงเป็นกลุ่มที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัท ปีนี้คาดว่าเติบโตตัวเลขสองหลัก จากปีก่อนมีรายได้ 8,664 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 58 ที่มี 6,898 ล้านบาท ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) 8,520 ล้านบาท ผลงานของกลุ่มนี้จะขึ้นอยู่กับงานประมูลทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเข้าร่วมประมูลงาน 11,500 ล้านบาท โดย 80% เป็นงานภาครัฐ บริษัทคาดหวังได้งาน 50-60% ของที่เข้าร่วมประมูล
กลุ่มเทคโนโลยี มีสัดส่วนรายได้ราว 65-70% โดยมีงานหลากหลายในกลุ่มนี้ ได้แก่งานไอทีที่จะมีงานต่อเนื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงระบบไอทีแต่ละหน่วยงาน กลุ่มงาน power ที่เกี่ยวกับสายส่ง สถานีย่อยของไฟฟ้า
กลุ่ม Infrastutures มีทั้งระบบราง และทางด่วน เป็นต้น ซึ่งงานเกี่ยวกับรถไฟฟ้าที่ LOXLEY ทำหลังคาสถานีรถไฟฟ้า มีโอกาสเข้าไปรับงานรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี , สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง รวมแล้วต้องมี 70 สถานี โดยที่ผ่านมาบริษัทได้เคยทำมาก่อนแล้ว
ขณะที่งานรักษาความปลอดภัยในสนามบินและนอกสนามบินก็เติบโตได้ดี ซึ่งบริษัทหันมารับงานเอกชนมากขึ้น เช่น สายการบินต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการรับงานภาครัฐ ด้านงานฟินเทคและพร้อมเพย์ บริษัทได้งานจากลูกค้าเดิมที่เป็นกลุ่มธนาคารที่ต้องอัพเกรดระบบต่อเนื่อง คาดว่าจะทำรายได้ราว 2-3 พันล้านบาท
"เรามีธุรกิจหลากหลาย เราโฟกัสสธุรกิจที่ทำกำไรได้มาก รายได้โต double digit อยู่ และยังโต doble digit เราเลือกเข้าประมูลงานมากขึ้น ประมูลระบบราง ที่จะให้อัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 15% เราจะรับงานอีกต่อหนึ่ง เราจะไม่ได้เข้าเป็นคู่สัญญากับราชการ"นายสุรช กล่าว
กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวยอมรับว่า เป็นครั้งแรกที่ LOXLEY ปรับเปลี่ยนบุคคลากรครั้งใหญ่ จากที่ผ่านมา 37-38 ปี นายธงชัย ล่ำซำ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดังนั้น วัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างนี้มานานก็ต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน และกลุ่ม LOXLEY มีขนาดใหญ่จึงค่อนข้างอุ้ยอ้าย
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ธุรกิจใดที่ไม่มีอนาคตก็จะยุบหรือปรับขนาดให้เล็กลง เช่น ตู้โทรศัพท์ PABX ส่วนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่บริษัททำมา 2 ปีแล้วแม้ว่าจะยังไม่สามารถขายได้เลย แต่ก็ยังต้องมีอยู่เพราะอนาคตรถไฟฟ้ากำลังจะเกิดขึ้น หรือรถบัสไฟฟ้าที่จะรองรับกับรถเมล์ไฟฟ้า ทั่งนี้ การปรับโครงสร้างคาดจะความชัดเจนในครึ่งหลังปีนี้ และคาดว่าต้องใช้เวลา 1 ปีกว่าในการเปลี่ยนแปลงองค์กร
สำหรับบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี จำกัด ที่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็ยังคงดำเนินงานอยู่ ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญา เพราะสัญญาของบริษัททำถูกต้องทุกอย่าง โดยขณะนี้กำลังรอสำนักงานสลากฯแก้ไขกฎหมายให้สามารถดำเนินการได้นอกเหนือจากสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศล เพื่อให้ล็อกซ์เล่ย์ จีเทคฯ สามารถเปิดให้บริการเกมใหม่ๆได้ อาจจะเป็นเล่นเกม 6 ตัว หรือ 3 ตัว เป็นต้น
ด้านนายบุญเลิศ ใจมั่น ผู้อำนวยการฝ่าย ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ LOXLEY กล่าวว่า ในปี 60 บริษัทจะรักษาค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่จ่ายอยู่ไตรมาสละ 550 ล้าบาท หรือปีละ 2,200 ล้านบาท และปีนี้ดอกเบี้ยจ่ายน่าจะลดลง เพราะปีก่อนมีงานล่าช้าทำให้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม อย่างไรก็ตาม กลุ่ม LOXLEY ถือว่ามีจุดแข็งด้านการเงิน โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที 0.5 เท่า และมีต้นทุนการเงิน 4-5%
นอกจากนี้บริษัทได้ศึกษาที่จะแยกธุรกิจกลุ่ม Power และกลุ่มพลังงานทดแทน เพื่อนำเข้าตลาดหุ้นต่อไป โดยอย่างเร็วน่าจะเข้าตลาดฯได้ในปี 61 อย่างไรก้ตามต้องหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินก่อน
ทั้งนี้ กลุ่ม Power ที่มีธุรกิจสายส่ง และสถานีย่อยไฟฟ้า ซึ่งอนาคตยังมีความต้องการอยู่ โดยบริษัทรับงานทั้งจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย มีรายได้ 1,200-1,500 ล้านบาทต่อปี มีกำไรประมาณ 70 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน ปัจจุบันบริษัทมีโซลาร์ฟาร์ม ขนาด 8 เมกะวัตต์ ที่ปราจีนบุรี ทำรายได้ 150 ล้านบาท แต่มีกำไรสูง 50-60 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าร่วมทุนโครงการไบโอแมสในเมียนมา ขนาด 10 เมกะวัตต์ในเฟสแรก มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท ขณะนี้ลงทุนแล้ว 7 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทร่วมลงทุน 30-40% แต่ขณะนี้มีผู้ร่วมทุนจากไทยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด และมีพันธมิตรท้องถิ่น คาดว่าจะได้จข้อสรุปในไตรมาส 2 /60 รวมทั้งยังเข้าร่วมลงทุนโครงการพลังงานจากขยะ 2 โครงการในไทย ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา