นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาสิริ กรุ๊ป (THANA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ราว 900-1,000 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 120 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/60 ราว 80-90%
ขณะที่ยอดขายในปีนี้คาดว่าจะทำได้ราว 1,000-1,100 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 995 ล้านบาท คือ โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ธนาฮาบิเทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร มูลค่าโครงการ 875 ล้านบาท จำนวน 95 ยูนิต พื้นที่ 26.2 ไร่ ราคาเฉลี่ย 9.2 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 2/60 และโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น ธนาซิโอ มูลค่าโครงการ 120 ล้านบาท จำนวน 40 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 3 ล้านบาท จะเปิดตัวในไตรมาส 4/60
"ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 60 เป็นไปตามทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยบริษัทยังคงเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจ.นนทบุรี ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดทำเลที่ระบบสาธารณูปโภคมีความสมบูรณ์ รวมถึง IKEA ที่จะเปิดในช่วงปลายปีนี้ก็จะช่วยสร้างความคึกคักมากขึ้น โดยปีนี้เรามีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการมูลค่า 995 ล้านบาท เพื่อรองรับเป้าหมายการเติบโต 20%"นายสุทธิรักษ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการเหลือขายอยู่อีกประมาณ 7 โครงการทำเลในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวในปี 59 โดยมองว่ากำลังซื้อน่าจะเริ่มกลับมามากขึ้นจากที่ชะลอตัวไปในปีก่อนเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศ อีกทั้งมีโครงการ Siri Village Udonthani-Airport มูลค่า 800 ล้านบาท ที่เปิดตัวไปเมื่อไตรมาส 3/59 เชื่อว่าปีนี้ก็น่าจะมีผู้ที่ให้ความสนใจเข้าชมโครงการมากขึ้น
บริษัทยังวางงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ที่ 300-500 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยสนใจทำเลราชพฤกษ์ ,พระราม 2 และบางนา เป็นต้น เนื่องจากมองว่าทำเลดังกล่าวถือว่ามีศักยภาพการเติบโตอย่างมาก ทั้งจากจำนวนประชากรสูง และเริ่มมีการขยายตัวของห้างสรรพสินค้า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังมีที่ดินในมือรอการพัฒนาอีก 3 แปลง ได้แก่ ริมถนนรัตนาธิเบศร์ ,ที่ดินเปล่า 4 ผืนในโครงการรัตนาธิเบศร์ และที่ดินเปล่า กมลา จ.ภูเก็ต
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ภาพรวมที่ยังคงชะลอตัว ทำให้คาดว่าปีนี้อัตราการปฎิเสธสินเชื่อน่าจะปรับตัวสูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 13-14% แต่บริษัทจะพยายามควบคุมไม่ให้ยอดปฎิเสธสินเชื่อเกิน 20% เนื่องด้วยเศรษฐกิจยังไม่ได้มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วนัก แต่พบว่ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับสูง
ทั้งนี้ จากการประเมินแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่น่าสนใจ ประกอบด้วย ปัจจัยบวกซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และรถไฟฟ้าสายสำคัญต่างๆ ที่คาดการณ์ว่าจะเปิดพื้นที่ใหม่ในปริมณฑล อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค ผ่านการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษคลัสเตอร์ และแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
รวมถึงมาตรการส่งเสริมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม จะช่วยสร้างตลาดใหม่ทดแทนยอดขายที่ชะลอตัวลง ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงยังมีอยู่ในระบบต่างจากความต้องการซื้อเพื่อการลงทุนที่ลดลงอย่างชัดเจน