นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2560 ได้มีการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ โดยได้มีการทุ่มงบประมาณกว่า 60 ล้านบาท เพื่อนำหุ่นยนต์พ่นสีมาใช้ในไลน์การผลิตจำนวน 4 เครื่อง และไลน์ฉีดอีก 4 เครื่อง ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 3 เท่าตัว อีกทั้งยังมีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในการอบสี ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวลดลง 50% จากเดิม
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อใช้ในโรงงาน กำลังการผลิต 1.99 เมกะวัตตต์ ซึ่งช่วยลดรายจ่ายในส่วนของเชื้อเพลิงได้กว่า 2,200,000 บาท/ปี มาตรการการลดการใช้พลังงานสามารถประหยัดได้ 7,500,000 ต่อปี
"ถือเป็นการปรับตัวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันกำไรของบริษัทฯเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี" นายสมพลกล่าว
นายสมพล กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ของ FPI ใน 2560 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ในแง่ของกำไรคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากออเดอร์ใหม่ที่มีเข้ามาตลอดโดยเฉพาะงานด้าน OEM จากลูกค้าในยุโรป ซึ่งปัจจุบันได้รับความไว้วางใจในการส่งคำสั่งผลิตเพิ่มขึ้นตลอด โดยงานผลิตชิ้นส่วนแบบ OEM ถือว่ามีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ทำให้กำไรเติบโตอย่างโดดเด่น
ปัจจุบัน บริษัทฯมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ 450 ล้านบาท ส่วนที่หลือรับรู้ในปี 2561
นอกจากนี้ การแตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และกระจายความเสี่ยงการลงทุน โดยได้ร่วมมือกับบริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-P) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) จัดตั้งบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ได้เซ็นสัญญาเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด ขนาดกำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ใน ต้นไตรมาส 2/60 นี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯเปิดฉากรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนเข้ามาทันทีในปีนี้