นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บมจ.สหพัฒนพิบูล (SPC) เปิดเผยว่า ในปี 60 นี้ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายของสหพัฒน์ไว้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท จาก 3.28 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้ประเมินว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สหพัฒน์จึงได้พัฒนาภายในองค์กร โดยใช้กลยุทธ์ SIM (Strategic Marketing Planner-Initiator-Motivator) เพื่อทำหน้าที่ค้นหายุทธศาสตร์ทางการตลาด
อย่างไรก็ตาม ยอดขายในปีนี้คงจะเติบโตไม่มากจากปีก่อน เนื่องจากมีสินค้า 2 รายการถอดออกไป ได้แก่ "กะทิอร่อยดี" ที่มียอดกว่าปีละ 2 พันล้านบาท ซึ่งสหพัฒน์ทำตลาดให้มาเป็นเวลา 11-12 ปี และสินค้า "ไนกี้" ที่มียอดขายปีละกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 รายการมียอดขายรวมแล้วประมาณ 2.6 พันล้านบาท แต่บริษัทได้สินค้า "Under Armour" จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทั้งรองเท้า เสื้อผ้า เข้ามาจำหน่าย โดยคาดว่าปีแรกนี้จะมียอดขายราว 300 ล้านบาท และนำสินค้า "กะทิพร้าวหอม"ของบริษัท สุรีย์ ที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ราว 500 ล้านบาท
นอกจากนี้สหพัฒน์ จะทยอยเปลี่ยนร้านไนกี้ ไปเป็นร้าน Beyond shop หลังจากสินค้ากลุ่มไนกี้แยกตัวออกไป โดยเตรียมเปิดขายร้าน Beyond shop สาขาแรกที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งร้านจะเน้นการขายรองเท้ากีฬาหลากหลายยี่ห้อ เช่น อาดิดาส ,พูม่า, คอนเวอร์ส เป็นต้น
สำหรับเป้าหมายการขายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 10% แต่ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ยอดขายเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิโดยรวมปีนี้จะอยู่ที่ 3% ซึ่งใกล้เคียงปีก่อน โดยในไตรมาสแรกปีนี้ สหพัฒน์ได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นทั้งจากในเครือและนอกเครือ ได้แก่ มาม่าคาโบนาร่า มาม่าข้าวต้มรสหมูสับกระเทียมพริกไทย มาม่ามัสมั่นไก่ โจ๊กมาม่าต้มยำกุ้ง บะหมี่ซื่อสัตย์โวเคโน่ชีส ลูกอมโมรินากะ ทิชชู่เปียกสำหรับเด็กกูนน์ และผลิตภัณฑ์กู๊ดเอจ ได้แก่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก โลชั่นบำรุงผิว
"สินค้าแต่ละตัวเราตั้งเป้าโต 10% แต่เป้าใหญ่ของบริษัทโตไม่มาก ค้าปลีกปีนี้ไม่แพ้ปีที่แล้ว ถ้าจะกังวลก็เรื่องภัยแล้ง คิดว่ารัฐบาลนี้มีมาตรการออกมาทำแล้วส่งผลเชิงบวก เช่น แจกเงินให้คนจน"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวอีกว่า กลยุทธ์การตลาดในปีนี้ว่าสหพัฒน์จะมุ่งขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าไปในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ปากช่อง เขาใหญ่ พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนกว่า 30 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีความปลอดภัยระดับมาตรฐานโลก รองรับการเติบโตทางด้านไอที
แม้กลุ่มสหพัฒน์จะเน้นการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) แล้ว แต่ก็ยังมองหาโอกาสเติบโตด้วยการเข้าซื้อ หรือควบรวมกิจการ (M&A) โดยไม่จำกัดกลุ่มธุรกิจ อาทิ อสังหาริมทรัพย์ อาหาร โดยจะเลือกพิจารณาอย่างพิถีพิถัน เน้นการซื้อกิจการที่สามารถทำกำไรได้เลย ไม่ใช่ทำแล้วขาดทุน 4-5 ปี เพราะการลงทุนที่ผิดพลาดจะสร้างเสียหายมากกว่าการที่ไม่ลงทุน
ด้านนายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ ของ SPC กล่าวว่า กล่มสหพัฒน์ตั้งเป้ายอดขายสินค้า"มาม่า" ในปีนี้ที่ระดับ 9.6 พันล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดใกล้เคียงปีก่อนที่ 52%
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุน Data Center ใหม่ที่อาคารบางกอกทาวเวอร์ เงินลงทุน 52 ล้านบาท และสัปดาห์หน้าจะย้ายข้อมูลมาที่ใหม่ ซึ่งเป็นการวางรากฐานระบบนำไปสู่การทำตลาดแบบ B2B ที่ร้านค้าสามารถออเดอร์สินค้าตรงได้โดยไม่ต้องรอเซลล์ไปจดรายการสินค้า เบื้องต้นทดลองในเขตกรุงเทพฯ และจากนี้จะขยายไปต่างจังหวัด
นอกจากนี้ได้จัดศูนย์กระจายสินค้าในรูปหน่วยรถ โดยได้ทำการทดลองแล้วที่จ.ขอนแก่น ซึ่งมีรายการสินค้า 72 รายการจากทั้งหมด 2 พันกว่ารายการ และปีนี้จะขยายไปที่เชียงใหม่ นครราชสีมา ศรีราชา และในกรุงเทพฯ 4 จุด ทั้งนี้คาดว่ายอดขายแบบ B2B ในปีนี้จะทำได้ระดับ 50 ล้านบาท จากที่เปิดดำเนินการเมื่อเดือนธ.ค.59 มียอดขาย 4 แสนบาท
สำหรับยอดขายออนไลน์ แบบ B2C คาดว่าปีนี้จะเติบโตเท่าตัวจาก 50 ล้านบาทในปีก่อน เพิ่มเป็น 100 ล้านบาท เพราะสินค้าของสหพัฒน์มีหลากหลาย และเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่ลงทุนมีความปลอดภัย มีระบบ Backup
บริษัทกำลังศึกษาการขยายพื้นที่คลังสินค้าในพื้นที่เดิมที่ศรีราชา เพิ่มจาก 3 หมื่นตารางเมตร เป็น 5 หมื่นตารางเมตร โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท
นางผาสุข รักษาวงศ์ กรรมการรองผู้อำนวยการอาวุโส ของ SPC กล่าวว่า ในไตรมาสแรกได้ออกสินค้าใหม่ ได้แก่ มาม่าคาโบนาร่า มาม่ามัสมั่นไก่ มาม่าข้าวต้มรสหมูสับกระเทียมพริกไทย โจ๊กมาม่าต้มยำกุ้ง บะหมี่ซื่อสัตย์โวเคโน่ชีส เป็นต้น และในปีนี้จะเน้นเพิ่มยอดขายน้ำแร่ Mont Fleur ซึ่งปีก่อนมียอดขาย 4 พันล้านบาทเติบโต 15% โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 16% เป็นอันดับที่ 3