นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บมจ.ไทยวา (TWPC) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/59 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจปกติ ประกอบกับความต้องการขอตลาดที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาแป้งมันสำประหลังจะลดลงจากไตรมาส 4/60 ก็ตาม
แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/59 แนวโน้มของปริมารการขายแป้งมันสำปะหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ราคาในไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 300 เหรียญ/ตัน น้อยกว่าไตรมาส 1/59 ที่ 400 เหรียญ/ตัน ซึ่งทำให้บริษัทยังไม่แน่ใจว่าผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะออกมาดีกว่าหรือไม่
นายโฮ เรน ฮวา กล่าวอีกว่า บริษัทประเมินว่าราคาแป้งมันสำประหลังทั้งปี 60 จะต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับเกือบ 350 เหรียญ/ตัน เนื่องจากปริมาณซัพพลายในตลาดยังอยู่ในระดับสูง แม้ความต้องการจะเพิ่มขึ้น แต่การดูดซับซัพพลายด์ทำได้ช้ากว่าผลผลิตที่ออกมามากขึ้น จึงกดดันราคาขายแป้งมันสำปะหลัง โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ แต่แนวโน้มราคาคาดว่าจะค่อยๆ ขยับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ บริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปันี้จะเติบโตได้ 8-9% จากปีก่อน
ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ซึ่งมีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตสูง และมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการวัตถุดิบของบริษัทได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันบริษัทได้จัดตั้ง บริษัท ทีดับบลิวพีซี อินเวสท์เมนท์ (กัมพูชา) จำกัด หรือ TWPC Investment (Cambodia) Company Limited เพื่อเพิ่มการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งมันปะหลัง คาดว่าโรงงานที่กัมพูชาจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/60 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิต 2.4 หมื่นตันต่อปี
รวมทั้ง จัดตั้งบริษัท ไทยวาเวียดนาม จำกัด (Thai Wah Vietnam Company Limited) เพื่อสร้างโรงงานวุ้นเส้นแห่งแรกในกรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะแล้วเสร็จในในช่วงไตรมาส 4/60 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวม 5 หมื่นตันต่อปี จากปัจจุบันที่ 3.3 หมื่นตันต่อปี อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนตั้งโรงงานแป้งมันสำประหลังหรือโรงงานวุนเส้นในประเทศเมียนมาและสปป.ลาวเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะเห็นการลงทุนใน 1-2 ปีข้างหน้า อาจเป็นไปได้ทั้งการลงทุนเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น
นายโฮ เรน ฮวา กล่าววอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุน 3 ปี (60-62) ที่ 1-2 พันล้านบาท ซึ่งมาจากกระแสเงินสดในมือที่มีอยู่กว่า 1.7 พันล้านบาท โดยจะใช้ขยายกำลังการผลิตแป้งมันสัมปหลังเพิ่มอีก 2.2 หมื่นตัน จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 3.9 แสนตันต่อปี และจะเพิ่มกำลังการผลิตกูโคสเป็น 5 หมื่นตันต่อปี จากปัจจุบันที่ 3.3 หมื่นตันต่อปี
นอกจากนั้น จะใช้ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศกลุ่ม CLMV ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีวัตถุดิบจำนวนมาก และเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการปลูกมันสัมปหลัง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในปี 60-61 ราว 1-2 ดีล มูลค่าการลงทุนรายละไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยเน้นเป็นธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง