นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวถึงประเด็นการลงทุนในหุ้นบมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ว่า นักลงทุนจะต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ เพราะในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นจากการที่บริษัทได้ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทย่อย ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ลงหมายเหตุประกอบงบการเงินไว้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อบริษัท แต่ในแง่ของพื้นฐานของ GL ยังมองว่าเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานได้อยู่
ขณะที่นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ข้อมูลของ GL มาระดับหนึ่งแล้ว จากก่อนหน้านี้ได้สอบถามข้อมูลและขอเอกสารต่าง ๆ จากบริษัท ประกอบกับได้ทำงานร่วมกับผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลและยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในตอนนี้ แต่หากต้องการข้อมูลเพิ่มขึ้นก็จะให้ทางบริษัทชี้แจงเข้ามา โดยในส่วนของนักลงทุนนั้นจะต้องมีการพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ
อนึ่ง ราคาหุ้น GL ปรับตัวลดลงอย่างเด่นชัดตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา หลังมีข้อสังเกตของผู้สอบบัญชีกรณีเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับแก่ผู้กู้ 2 ราย ได้แก่ ผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ทำให้ราคาหุ้น GL ที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 59 บาท เมื่อปลายเดือนก.พ. ปรับลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 18.80 บาทในปัจจุบัน
นางเกศรา กล่าวอีกว่า ส่วนการปรับลดระยะเวลาชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ใน 2 วันทำการ (T+2) จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3) ซึ่งมีผลตในวันที่ 2 มี.ค.61 นั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามหลักสากลที่มีหลายๆประเทศใช้กัน อย่างเช่น ยุโรป และสหรัฐฯ โดยการปรับเปลี่ยนจะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับสากล และสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการให้บริการ และการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ลดลง อีกทั้งจะทำให้สภาพคล่องในการลงทุนมีมากขึ้น เพราะนักลงทุนมีระยะเวลาการได้รับเงินที่ลดลง ซึ่งการเปลี่ยนไปสู่ T+2 เป็นเรื่องที่บริษัทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวและเตรียมเงินสำรองเพื่อรองรับการที่จะต้องมีการรับเงินที่เร็วขึ้น
สำหรับกรณีเหตุก่อการร้ายในประเทศอังกฤษล่าสุดมองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะจากการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งเช้าที่ผ่านมา ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงลบที่เกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นนั้นมองว่าตลาดรับข่าวและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ปัจจุบันไม่ส่งผลกดดันการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทย และแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่