นายปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานกรรมการ บมจ.ไดเมท (สยาม) (DIMET) กล่าวว่า บริษัทคาดรายได้งวดปี 59/60 (ก.ค.59-มิ.ย.60) จะเติบโตมาที่ราว 400 ล้านบาท จาก 329 ล้านบาทในปีก่อน หลังแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 59/60 ฟื้นตัวดีขึ้น จะเห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สี โดยเฉพาะสีกันความร้อน ที่ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศอินเดียเข้ามา คาดว่าจะมียอดขายดังกล่าวในปี 59/60 ราว 90 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมียอดคำสั่งซื้อสินค้า จากประเทศบังคลาเทศเข้ามาอีกด้วย ซึ่งบริษัทยังมองการขยายตลาดไปยังกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างต่อเนื่อง เช่น เมียนมา ,สปป.ลาว ,มาเลเซีย จากปัจจุบันได้ขยายตลาดไปแล้วในประเทศเวียดนาม ,ฟิลลิปปินส์ ,อินเดีย และบังคลาเทศ เป็นต้น โดยคาดสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 59/60 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 25-30% จากปีก่อนมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 15%
ส่วนตลาดในประเทศ บริษัทได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายไปแล้ว 2 ราย โดยรายแรก เป็นผู้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างในจ.เชียงใหม่ และรายที่ 2 คือบมจ.ช ทวี (CHO) ซึ่งเป็นผู้ประกอบรายใหญ่ในจ.ขอนแก่น และภายในปลายเดือนมี.ค.นี้ บริษัทจะแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งจะสามารถขยายตลาดในภาคตะวันออกได้ทั้งหมด โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีตัวแทนจำหน่ายครบ 9 รายตามแผน ประกอบกับบริษัทยังขยายการเข้าไปรับงานราชการ และงานโครงการของภาคเอกชนมากขึ้นด้วย
สำหรับงบลงทุนปีนี้ บริษัทวางไว้ที่ประมาณ 6-7 ล้านบาท เพื่อใช้ทำการตลาดผลิตภัณฑ์สี โดยจะมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร และสีที่ใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างการรับรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทคาดรายได้งวดปี 60/61 (ก.ค.60-มิ.ย.61) จะเติบโตมาที่ 500-600 ล้านบาท จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจใหม่ทั้งหมด ทั้งการลงทุนด้านบุคลากร ปรับปรุงไลน์ผลิต เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการขยายตลาดเพิ่มเติมอีกทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายปัญญา กล่าวว่า บริษัทยังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย โดยลักษณะการลงทุนจะเป็นการเข้าไปซื้อหุ้น คาดจะถือหุ้นในสัดส่วน 20-30% คาดจะเห็นความชัดเจนได้ใน 6 เดือนหลังจากนี้
อีกทั้งบริษัทก็มีความสนใจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน เช่น ธุรกิจกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) โดยการจัดเก็บพลังงานอาจจะอยู่ในรูปแบตเตอร์รี่ หรือ ไฮโดรเจน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 6-8 เดือนจากนี้