ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ที่ระดับ “AA" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยการประกาศทบทวนอันดับเครดิตในครั้งนี้เป็นผลจากการที่บริษัทได้ประกาศเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 ว่า บริษัทเตรียมจะซื้อกิจการของ บริษัท เพรซิเดนท์โฮลดิ้ง จำกัด โดยวิธีโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer – EBT)
ทั้งนี้ การคงอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความเห็นของทริสเรทติ้งต่อการซื้อกิจการดังกล่าวว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทซึ่งแม้ว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอ่อนตัวลงแต่ก็ยังคงสอดคล้องกับสถานะอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทและบริษัทที่เกี่ยวข้องจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและดำรงสถานะผู้นำในตลาดหลักได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะอ่อนตัวลงหลังจากการซื้อกิจการ แต่ก็คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจากบริษัทที่เกี่ยวข้อง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มหากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มสหพัฒน์ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากและสามารถเพิ่มกระแสเงินสดของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกันอันดับเครดิตอาจลดลงหากรายได้จากเงินปันผลของบริษัทลดลงอย่างมากจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของบริษัทในกลุ่มสหพัฒน์หรือ บริษัทมีการใช้นโยบายการก่อหนี้จำนวนมาก
บริษัท เพรซิเดนท์โฮลดิ้ง เป็นหนึ่งในบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ ซึ่งปัจจุบันถือหุ้น 0.09% ในบมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TF) 32.76% ในบมจ.เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ (PR)และ 18.77% ในบมจ. เพรซิเดนท์เบเกอรี่ (PB) บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TF) เป็นผู้นำในการผลิตบะหมี่สำเร็จรูปในประเทศไทย โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายภายใต้ตราสินค้า “มาม่า"ในปี 2559 TF สร้างรายได้จำนวน 12,600 ล้านบาทและมีกำไร 2,414 ล้านบาท
ในขณะที่ PB เป็นผู้ผลิตสินค้าเบเกอรี่ชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้ตราสินค้า “ฟาร์มเฮ้าส์" โดยบริษัทมีรายได้จำนวน 7,569 ล้านบาทและมีกำไร 1,463 ล้านบาทในปี 2559 ส่วนธุรกิจหลักของ PR คือการผลิตอาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้นที่ทำจากข้าวซึ่งในปี 2559 บริษัทมีรายได้จำนวน 1,360 ล้านบาทและมีกำไร 639 ล้านบาท
การซื้อกิจการของ บริษัท เพรซิเดนท์โฮลดิ้ง มีมูลค่า 7,920 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการซื้อกิจการกิจการโดยวิธีโอนกิจการทั้งหมด SPI จะต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ PR และ PB สำหรับการซื้อกิจการของ PB นั้น บริษัทและ TF จะร่วมกันทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ PB
ทั้งนี้ การทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของกิจการทั้ง 2 แห่งดังกล่าวจะมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 23,306 ล้านบาท โดยธุรกรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2560 อย่างไรก็ตาม หุ้นส่วนใหญ่ของกิจการทั้ง 2 แห่งถือโดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสหพัฒน์นอกจากนี้ราคาเสนอซื้อของทั้ง 2 กิจการนั้นก็ต่ำกว่าราคาตลาด ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่อาจเลือกที่จะไม่เสนอขายหุ้นตามคำเสอนซื้อดังกล่าว
SPI จะก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้ในการซื้อกิจการดังกล่าวโดยบริษัทจะออกหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวน 4,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนบางส่วนสำหรับธุรกรรมนี้ เงินทุนส่วนที่เหลือจะเป็นการก่อหนี้ในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อใช้ในการลงทุน โดยภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการก่อหนี้ใหม่ ทั้งนี้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2559 เป็น 28% ในปี 2560
การลงทุนในบริษัท เพรซิเดนท์โฮลดิ้ง จะทำให้บริษัทเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งมีความอ่อนไหวต่อวงจรเศรษฐกิจไม่มากนัก อีกทั้งยังจะช่วยกระจายความเสี่ยงของการลงทุนและเพิ่มกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอีกด้วย โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 28% จากจำนวน 1,936 ล้านบาทในปี 2559
SPI เป็นบริษัทโฮลดิ้งหลักของกลุ่มสหพัฒน์ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย บริษัทให้บริการสวนอุตสาหกรรมและลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มสหพัฒน์จำนวน 155 แห่ง ในฐานะบริษัทโฮลดิ้ง บริษัทให้บริการแก่บริษัทในกลุ่มในด้านการลงทุนแบบครบวงจรโดยให้บริการโรงงานให้เช่าและสาธารณูปโภคสำหรับบริษัทที่ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรม รวมทั้งให้บริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน ให้การช่วยเหลือทางการเงิน และบริการด้านอื่น ๆ
รายได้หลักของบริษัทมาจากรายได้ค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภคจากสวนอุตสาหกรรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทมาจากเงินปันผลจากการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ เป็นหลัก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 กิจการที่บริษัทลงทุนจำนวน 23 แห่งจาก 155 แห่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1 แห่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ และอีก 1 แห่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว
โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มสหพัฒน์ช่วยทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากการมีแหล่งเงินปันผลที่หลากหลายซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ จากสถิติในอดีตสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีรายได้จากเงินปันผลในระดับที่สม่ำเสมอแม้ว่าบริษัทจะไม่มีอำนาจเต็มในการกำหนดนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่เกี่ยวข้องดังกล่าวก็ตาม