นายธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEL) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 60 จะเติบโตราว 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.68 พันล้านบาท โดยมีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการที่ออกมามากขึ้น จากปีก่อนที่มีการชะลอตัวไป โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ที่มีสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
ประกอบกับในปีนี้กำลังการผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 40% โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 แสนลูกบาศก์เมตร/ปี จากเดิมที่ 1.65 แสนลูกบาสเมตร/ปี ซึ่งกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยรองรับงานโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเข้ามา
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตลวดแรงดึงสูง สำหรับคอนกรีตอัดแรงแบบเส้นเดี่ยว (PC wire) ลวดแรงดึงสูงสำหรับคอนกรีตอัดแรงแบบตีเกลียว (PC Strands) และลวดแรงดึงสูงชนิดดึงเย็น (CW) โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตรวม 4 หมื่นตัน/ปี โดยคาดว่าโรงงานดังกล่าวจะสามารถดำเนินการผลิตได้ภายในปีนี้
นายธิติพงศ์ กล่าวว่า การลงทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้นจากนี้จะเป็นการขยายธุรกิจไปสู่ต้นน้ำมากขึ้นด้วย และ ด้วยการจำหน่ายลวดแรงดึงสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง พื้นคอนกรีตอัดแรงชนิดไร้คาน พื้นกึ่งสำเร็จรูปอัลฟ่าทรัส และผลิตภัณฑ์พื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป โดยการลงทุนครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์เป็นวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าลดลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯยังได้ตุนงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 1.6 พันล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาทั้งหมดในปีนี้
"เราปรับแผนการดำเนินธุรกิจมาเป็นการขายสินค้าให้ที่ครบวงจรในการขายสินค้าเข้าโครงการมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้บริษัทฯขายสินค้าเพียงเสาเข็มคอนกรีตเท่านั้น ซึ่งเสาคอนกรีตมีสัดส่วนเพียง 5% ของแต่ละโครงการเท่านั้น ทำให้รายได้ของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากเสาเข็มคอนกรีตลดลงไปอยู่ในระดับ 47% แต่สินค้าอื่นๆปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 53% ซึ่งการปรับโครงสร้างการขายดังกล่าวจะช่วยให้เรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต"นายธิติพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7-10% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 4.99% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น ประกอบกับราคาสินค้า โดยเฉพาะในส่วนของเสาเข็มปรับตัวดีขึ้นตามอุตสาหกรรมก่อสร้างที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะงานของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่มองภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในปีนี้ว่า มีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากโครงการภาครัฐที่เริ่มมีการประมูลโครงการก่อสร้าง Mega project อีกทั้งภาคเอกชนต่างเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าที่กำลังเป็นที่นิยมซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับงานเพิ่ม และสามารถรับรู้รายได้มากกว่าปีที่ผ่านมา