บมจ.ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง (FTE) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 150,000,000 หุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ FTE เป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิงแบบครบวงจร ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ และระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ รวมถึงการให้บริการออกแบบ จำหน่าย จัดหา รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ให้บริการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดับเพลิงและงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิง
วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อลงทุนก่อสร้างคลังสินค้า เปิดสำนักงานขายและบริการในประเทศ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยแผนก่อสร้างคลังสินค้าจะใช้พื้นที่ประมาณ 10 ไร่เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารการจัดเก็บสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะสร้างในโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ เนื่องจากสินค้าของกลุ่มบริษัทจะนำเข้าและขนส่งผ่านท่าเรือแหลมฉบัง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 190 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีแผนการขยายธุรกิจผ่านการเปิดสำนักงานขายและบริการไปยังภูมิภาคต่างๆ ภายในประเทศ ประกอบด้วย เชียงใหม่ ภูเก็ต และระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีความต้องการใช้อุปกรณ์ดับเพลิง ระบบดับเพลิง และระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 20 ล้านบาทต่อสาขา
รวมทั้งจะขยายการรับงานโครงการรับเหมาติดตั้งขนาดใหญ่ มูลค่าเกินกว่า 200 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้รับเหมาที่เป็น Engineering Procurement Contractor (EPC) ซึ่งการเข้ารับงานโครงการขนาดใหญ่มีความจำเป็นต้องอาศัยเงินทุนหมุนเวียนที่เหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในเอกสารระบุขอบเขตของงาน (Term of Reference: TOR) ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินส่วนหนึ่งจากการระดมทุนจากการเสนอขาย IPO กระแสเงินสดในกิจการ และการขอวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเข้ารับงานโครงการดังกล่าว
FTE มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 450,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเท่ากับ 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
สำหรับผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย ในปี 59 มีรายได้จากการขาย 628.41 ล้านบาท เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 57 ที่มีรายได้จากการขาย 575.96 ล้าน หรือ คิดเป็นอัตราการเติบโตรายได้เฉลี่ย 3 ปี (Compound Average Growth Rate) ราว 4.52% ต่อปี ส่วนรายได้จากการบริการในปี 59 ลดลงมาที่ 194.15 ล้านบาท จาก 240 ล้านบาทในปี 57 ตามจำนวนงานโครงการและมูลค่างานโครงการรับเหมาติดตั้งระบบที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิง
ด้านกำไรสุทธิช่วง 3 ปีย้อนหลังนั้น ในปี 57 มีกำไร 92.99 ล้านบาท, ปี 58 กำไร 80.79 ล้านบาท และปี 59 กำไร 87.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 11.37%, 10.61% และ 10.51% ของรายได้รวมแต่ละปี ตามลำดับ โดยในปี 58 กำไรสุทธิลดลงจากปี 57 เนื่องจากการลดลงของรายได้จากงานโครงการ แต่ปี 59 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มีสาเหตุมาจากรายได้เพิ่มขึ้นทั้งรายได้จากการขายและรายได้จากงานโครงการ และมีต้นทุนทางการเงินลดลง ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นก็ตาม
ขณะที่ ณ สิ้นปี 59 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 480.73 ล้านบาท หนี้สินรวม 165.10 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 315.63 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 15 มี.ค.60 คือ กลุ่มนายทักษิณ ตันติไพจิตร ถือหุ้น 385,652,200 หุ้น คิดเป็น 85.70% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 64.27% รองลงมาคือ นายบรรพต จำรูญโรจน์ ถือหุ้น 44,050,000 หุ้น คิดแป็น 9.79% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.34%
บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปี ในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด โดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะของบริษัท