บล.ทรีนีตี้ คาด Q2/60 Fund Flow เข้าดัน SET Index มีสิทธิทะลุ 1,600 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 29, 2017 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2/60 มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะในระดับ 1,620-1,640 จุด จากความกังวลในการบังคับใช้นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ภายหลังรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพใหม่หรืออเมริกันเฮลธ์แคร์ ทำให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงจาก 2.5% มาอยู่ที่ราว 2.38%

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนค่าสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.59 ที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดที่พัฒนาแล้ว และโยกเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงไทย เรียกได้ว่าขณะนี้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM equity market) กำลังเข้าสู่ช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีปริมาณเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ เช่น ค่าเงิน Rand ของ South Africa และค่าเงิน Real ของ Brazil

ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาทโดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะยาว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรไทยรุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.8%

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐนั้น ในช่วงสั้น 1-2 เดือนคาดว่าจะพักฐาน แต่ตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสปรับตัวบวกได้ดีกว่าสหรัฐ แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะยังคงผลักดันการปฏิรูปภาษี ซึ่งครอบคลุมทั้งภาษีนิติบุคคลและภาษีบุคคลธรรมดา โดยภาษีนิติบุคคลอาจจะลดลงมาที่ 20% จาก 35% คาดว่าสามารถเข้าสู่สภาคองเกรสในเดือน ส.ค.เป็นอย่างเร็วหรือเดือน ต.ค.เป็นอย่างช้า และเมื่อนำดัชนีหุ้นไทยมาเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ สามารถบ่งชี้ได้ว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้ายังมีโอกาสปรับขึ้นอีก (upside) 6% ซึ่งก็จะอยู่ในระดับ 1620-1640 จุด

"เป็นมุมมองที่อาจจะขัดแย้งความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ เพราะหุ้นสหรัฐ ยุโรป อาจจะไม่ดี แต่เมื่อเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ นักลงทุนก็กล้าที่จะเข้าลงทุนและสามารถยอมรับความเสี่ยงจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ และจากสถิตินับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 พบว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนในไตรมาส 2 สูงกว่าทุกไตรมาส โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.8% ไม่นับรวมเงินปันผล รองลงมาคือไตรมาส 1 ให้ผลตอบแทน 2.9% ไตรมาส 4 ให้ผลตอบแทน 2.4% และไตรมาส 3 ให้ผลตอบแทน 0.7% โดยเป็นไตรมาสที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง" นายวิศิษฐ์ กล่าว

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2 นั้นยังคงถือหุ้นได้ต่อเนื่อง เนื่องจากคาดว่าตลาดจะแกว่งตัวขึ้น โดยมีปัจจัยบวกคือ การที่ตลาดคาดการณ์โอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็น 1.25-1.50% ในปี 60 ไปเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งราคาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ยังถูกกว่าตลาดพัฒนาแล้ว 30% และการประชุมของโอเปกวันที่ 25 พ.ค.มีโอกาสที่โอเปกและรัสเซียที่จะเดินหน้าลดกำลังการผลิตต่อไป

รวมไปถึงปัจจัยบวกในประเทศคือการฟื้นตัวของรายได้เกษตรกรและการผลิตรถยนต์ และการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยดีขึ้นหลังประกาศงบไตรมาส 1 ส่วนปัจจัยลบให้จับตาปัญหาชายแดนสหรัฐ และ ภาษีต่างๆ

กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ย (outperform) จากการที่ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดมีแนวโน้มเข้าสู่ช่วง backwardation หรือ ช่วงที่บริษัทจะได้กำไรจากปรับสัญญาซื้อขายน้ำมัน ด้วยการปิดสัญญาตัวใกล้ที่ราคาสูง และเปิดสัญญาตัวใหม่ที่ราคาถูกลง

นอกจากนี้ยังแนะนำเลือกซื้อหุ้นปันผลดี ราคาประเมินยังถูก มีการเติบโต และกลุ่ม Turnaround แต่ต้องระมัดระวังไตรมาส 3 ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงตลาดหมี ดังนั้น จึงแนะนำให้ขายหุ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.

ส่วนช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์นโยบายดอกเบี้ยที่มีความตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางของหลายประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยพร้อมกัน เช่น เฟด และ ธนาคารกลางจีน ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็จะหยุดการใส่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ (QE) ในไตรมาส 4/60 และจะต้องระมัดระวังตัวเลขที่ลดลงในงบดุลของเฟด ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นมาก รวมไปถึงการขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้งใน 12 เดือนข้างหน้าของเฟด และการออกกฎหมายการเก็บภาษีเพื่อผลักดันแรงงานต่างด้าว (Repatriation Tax) ที่จะส่งผลให้เงินไหลกลับเข้าสู่สหรัฐมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ