นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น (D) เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ วันที่ 3 เม.ย.60 จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากในช่วงนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา
รวมถึงจากการเปิดจองหุ้น IPO ของ D ระหว่างวันที่ 23 , 24 และ 27 มี.ค.60 พบว่า นักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดีและให้ความสนใจจองซื้อหุ้นที่บริษัทเสนอขายเป็นจำนวนมาก เพราะมีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจที่ชัดเจน มีจุดเด่นและแตกต่างอย่างสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
“เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรก D จะสามารถยืนเหนือราคาจองซื้อที่ 6 บาทได้"นางศิริพร กล่าว นางศิริพร กล่าวต่อว่า D เป็นหุ้นไอพีโอน้องใหม่ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง มีจุดเด่นที่ชัดเจน คือ ให้บริการทางทันตกรรมที่ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีมาตรฐานการรักษาในระดับสากล จนสามารถเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์ทันตกรรมรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพจาก Joint Commission International (JCI) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาตรฐานดังกล่าวนี้ถือเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ทำให้ชื่อเสี่ยงของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจ ได้รับความเชื่อมั่นอย่างสูงจากผู้เข้ารับบริการทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง
ด้าน ทพ.พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร D กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้น D จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี เพราะจากการทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน แกนนำการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น ตั้งแต่การให้ข้อมูลจนถึงการจองซื้อที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ D ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ จะมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไปในอนาคต
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 57-59 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 408.26 ล้านบาท 418.56 ล้านบาท และ 446.52 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ในปี 57-59 เท่ากับ 25.59 ล้านบาท 12.31 ล้านบาท และ 42.52 ล้านบาท ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิในปี 58 ลดลงเมื่อเทียบจากปี 57 เนื่องจากในปีดังกล่าวมีการเพิ่มจำนวนพนักงานรวมถึงมีการปรับเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงาน และมีการทำโฆษณาผ่านการตลาดออนไลน์ที่มากขึ้น