โบรกฯเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เล็งผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตดีต่อเนื่อง จากขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯให้เป้า 1,800 สถานีหวังเทียบชั้นผู้นำตลาด ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณการขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ค่าการตลาดที่ปัจจุบันเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว หลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปมากในไตรมาส 4/59
ส่วนธุรกิจ non-oil เริ่มเดินหน้าจริงจังมากขึ้น ทั้งเริ่มวางจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง “พีที แมกซ์นิตรอน" รวมถึงบริษัทยังคงแผนการที่จะขยายสาขาร้านกาแฟ และ mini mart เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจ palm complex จะเริ่ม operate ในกลางปีนี้ ทั้งนี้ ธุรกิจ non-oil จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตที่ดีในระยะยาว
ในแง่ของฐานะการเงินของบริษัทฯก็แข็งแกร่ง จาก D/E ที่ต่ำ
เมื่อเวลา 15.15 น.หุ้น PTG อยู่ที่ 24.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท (+0.83%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บล.ทิสโก้ ซื้อ 31.00 บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 30.00 บล.กสิกรไทย ซื้อ 31.00
นายบุญญา วิกัยสุขสกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มกำไรของ PTG น่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีจากการขยายสาขา และค่าการตลาดที่จะฟื้นตัวในระหว่างปี ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงสะท้อนค่าการตลาดที่ต่ำลงช่วงปลายปีก่อนไปแล้ว ทำให้ upside สูงขึ้น ซึ่งมองว่าการอ่อนตัวลงของค่าการตลาดในช่วงปลายปี 59 เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเริ่มทรงตัว ทำให้คาดว่าค่าการตลาดจะพลิกฟื้นและยืนอยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี
แนวโน้มผลการดำเนินงาน PTG ในไตรมาส 1/60 คาดว่ากำไรสุทธิน่าจะยังทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แม้ว่าค่าการตลาดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลงเล็กน้อย มาอยู่ที่เฉลี่ย 1.66 บาท/ลิตร แต่ในเดือน มี.ค.60 ก็เริ่มเห็นการฟื้นตัว คาดว่าค่าการตลาดในไตรมาส 1/60 น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.73 บาท/ลิตร ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อทียบกับไตรมาส 1/59 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 1.8-1.9 บาท/ลิตร แต่อย่างไรก็ตาม ค่าการกลั่นที่ลดลงจะถูกชดเชยด้วยยอดขายเพิ่มขึ้น และคาดค่าการตลาดน่าจะฟื้นตัวได้ในระยะกลางปีเป็นต้นไป
นอกจากนี้ ประเมินว่า PTG จะสามารถกลับมาเปิดสาขาแบบอัตราเร่งได้กว่า 400 สาขาในปีนี้ ช่วยผลักดันให้ยอดขายน้ำมันทั้งให้เติบได้กว่า 30.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน มาที่ 3,602 ล้านลิตร พร้อมคาดกำไรในปีนี้ที่ 1,102 ล้านบาท เติบโตราว 2.7% จากฐานกำไรพิเศษในปีที่แล้ว ขณะที่ฐานกำไรปกติยังเติบโตได้ดี 12.6% จากปีก่อน ตามการขยายสาขา
พร้อมกันนี้ PTG ได้ประกาศงบลงทุนในปีนี้กว่า 5 พันล้านบาท โดยแบ่งส่วนของการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก คือ สถานีบริการน้ำมัน 3.5 พันล้านบาท ธุรกิจ non-oil 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1 พันล้านบาท ซึ่ง PTG เริ่มขยายการลงทุนไปยังธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้าน PT Max Mart เช่น การตั้งศูนย์บริการและซ่อมบำรุงบรรทุกร่วมกับ SAMMITR และธุรกิจบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอย ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และคาดจะขยายเป็นโรงผลิตไฟฟ้าอีกด้วย ประกอบกับยังมองโครงการที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจหลักในระยะยาว คือ โครงการ Palm Complex ที่มีความเสี่ยงด้านการจำหน่ายสินค้าต่ำ เนื่องจากเตรียมไว้ใช้ภายในทั้งหมด ขณะที่ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯมองการเติบโตของ PTG จะยังคงมาจากการขยายสถานีบริการน้ำมัน เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเป็น 1,800 สาขาเพื่อให้ใกล้เคียงกับผู้นำตลาด ดังนั้น จะเป็นส่วนผลักดันให้ปริมาณขายน้ำมันเติบโตในระดับใกล้เคียงกับการขยายสาขา และค่าการตลาดหลังจากที่ปรับตัวลงมากในไตรมาส 4/59 ขณะนี้เริ่มกลับมาสู่ระดับปกติมากขึ้นที่เฉลี่ย 1.6-1.70 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ ธุรกิจ non-oil ที่บริษัทเริ่มจริงจังมากยิ่งขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยเริ่มวางจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ของบริษัท คือ "พีที แมกซ์นิตรอน" ซึ่งตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไม่ต่ำกว่า 7 ล้านลิตร คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 1% ซึ่งการจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำไร เนื่องจากมีอัตรากำไรสูงกว่าการจำหน่ายน้ำมัน รวมถึงบริษัทยังคงแผนขยายสาขาร้านกาแฟ และ mini mart ซึ่งปัจจุบันมี 55 และ 50 สาขาตามลำดับ เพิ่มขึ้นเป็น 200 สาขาในปี 60
ส่วนธุรกิจ palm complex จะเริ่ม operate ในกลางปีนี้ ซึ่งจะส่งผลทำให้ธุรกิจ non-oil ของบริษัทมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนกำไรเพียง 1% เพิ่มขึ้นเป็น 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ดังนั้นจึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ PTG คาดว่าจะมีการเติบโตทั้งจากธุรกิจจำหน่ายน้ำมันและการขยายเข้าสู่ธุรกิจ non-oil มากยิ่งขึ้น โดยธุรกิจจำหน่ายน้ำมันปีนี้ตั้งเป้าปริมาณการขายน้ำมันจะเติบโต 30-40% จากปีก่อน ตามการขยายสาขาเพิ่ม ซึ่งตั้งเป้าหมายเป็นอันดับ 1 ที่ 1,800 สาขาในปีนี้ และสมาชิก MaxCard เพิ่มมาเป็น 7.4 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 5.6 ล้านราย ช่วยสร้างยอดขายและรักษาระดับ SSSG ที่ตัวเลข 2 หลัก,
ธุรกิจ non-oil มีสัดส่วนรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากการขยายร้านกาแฟ Panthai, PT MaxMart และการเริ่มดำเนินการ Palm Complex และเปิดตัวน้ำมันเครื่องในไตรมาส 1/60 อย่างไรก็ตาม มองว่ายังมี upside จากธุรกิจเอทานอลที่บริษัทเริ่มศึกษา และคาดว่าจะ COD ในปี 63 ดังนั้น น่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องสำหรับ PTG
พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 60 คาดว่าจะอยู่ที่ 1,347 ล้านบาท เติบโตราว 25.5% จากปีก่อน และในปี 61 ประเมินไว้ที่ 1,763 ล้านบาท เติบโตราว 30% จากปีนี้ ตามการขยายสาขา และยอดขายต่อสาขาเติบโต รวมถึงการรับรู้การลงทุน palm complex
ส่วน บล.กสิกรไทย ยังคงเลือกให้ PTG เป็น 1 ใน 8 top stock pick โดยมองกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/60 คาดว่า PTG จะเป็นหุ้นที่สามารถ deliver กำไรได้เติบโตต่อเนื่องในปี 60-62 ด้วย CAGR 35.5% และมีความสามารถในการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้
สำหรับปริมาณการขายน้ำมัน คาดว่าจะอัตราเติบโตเฉลี่ย 24% ใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ market share เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และโดดเด่นกว่าทั้งอุตสาหกรรม คาดว่าบริษัทจะขึ้นแท่นเป็นที่ 2 ในปี 62 ในด้าน market share จากปัจจุบันที่อยู่ที่อันดับ 5
ส่วนธุรกิจ non-oil คาดว่าจะสามารถ breakeven และเริ่ม contribute การเข้ามาในครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะเสริมสร้างการเติบโตที่ดีในระยะยาว ขณะที่บริษัทวางงบลงทุนปี 60 ไว้ที่ 5 พันล้านบาท โดยส่วนมากจะใช้กระแสเงินสดภายในบริษัทในการลงทุน และยังมีความสามารถในการกู้เพิ่มได้อีกมาก เนื่องจากมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จาก D/E ที่ต่ำ