โบรกเกอร์ ต่างแนะนำ"ซื้อ"บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) เพราะคาดว่ามีแนวโน้มสูงที่จะได้งานฐานรากจากบมจ.ช.การช่าง (CK) ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หล้งจากที่กลุ่มกิจการร่วมค้า CKST ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม 3 สัญญา ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่ได้รับงานจากบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่นอกเหนือจากจะเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มแล้ว ยังเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองด้วย จึงคาดว่าในปีนี้ SEAFCO จะได้งานใหม่เข้ามา 2.0-2.1 พันล้านบาท
รวมทั้งแนวโน้มภาครัฐก็ยังมีงานโครงการต่าง ๆ ออกมาต่อเนื่อง โดยล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) ได้เร่งให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้อยู่ในโครงการ PPP Fast Track ขณะที่โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางแม้การประมูลจะมีความล่าช้าออกไป แต่เชื่อว่าน่าจะยังเกิดขึ้นได้ในปีนี้ และเริ่มการลงทุนในปีหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนให้รายได้และกำไรของ SEAFCO ในปี 60-61 เติบโตได้ดี
ราคาหุ้น SEAFCO ช่วงบ่ายไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 12 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.12%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เออีซี ซื้อ 14.10 บัวหลวง ซื้อ 13.50 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 13.17 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 13.00 ทรีนีตี้ ซื้อ 13.00 นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในปี 60 คาดว่า SEAFCO จะได้งานใหม่เพิ่มเข้ามามากขึ้น ประมาณ 2 พันล้านบาท จากปัจจุบันมีงานในมือประมาณ 1.4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะได้งานฐานรากของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี จากผู้รับเหมารายใหญ่คือ CK กับ STEC ซึ่งร่วมทุนในกลุ่มกิจการร่วมค้า CKST ที่ได้งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม 3 สัญญา โดยเป็นงานในส่วน CK จำนวน 2.82 หมื่นล้านบาท คาดว่า CK จะให้งานฐานรากและงานใต้ดินแก่ SEAFCO ซึ่งปกติงานฐานรากจะเป็นสัดส่วน 5-15% จากมูลค่างานโยธาทั้งหมด เพราะที่ผ่านมา CK มีสายสัมพันธ์อันดีกับ SEAFCO งานรถไฟฟ้าแทบทุกสาย จะให้ SEAFCO รับเหมาช่วงทำงานเกี่ยวกับฐานราก นอกจากนี้ STEC ที่ได้งานมากทั้งในส่วนของโครงการรไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ร่วมทุนกับ CK ซึ่งได้ลงนามสัญญาแล้ว ก็ยังมีงานรถไฟฟ้าสายสีชมพู-สีเหลือง ที่ดำเนินการในนามของบริษัทร่วมทุน BSR ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดนั้น คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ประมาณเม.ย.60 ก็มีโอกาสที่ STEC จะแบ่งงานมาให้กับ SEAFCO ด้วย ทั้งนี้ คาดรายได้ของ SEAFCO ในปี 60 อยู่ที่ 2.14 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 237 ล้านบาท ส่วนในปี 61 คาดรายได้จะเพิ่มเป็น 2.36 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 260 ล้านบาท เมื่อเที่ยบกับปี 59 ที่มีรายได้ 1.86 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 156 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ราคาหุ้น SEAFCO ที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีอัพไซด์ไม่มากนัก นักวิเคราะห์จากบล.ทรีนีตี้ กล่าวแนะนำ"ซื้อ"หุ้น SEAFCO ให้ราคาเป้าหมาย 13 บาท เนื่องจากมองว่ามีแนวโน้มจะรับงานฐานรากจาก CK ที่ได้งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งคาดว่าจะได้งานฐานรากซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 5-7% ของมูลค่าโครงการ ดังนั้นคาดว่า SEAFCO จะมีงานใหม่เข้ามาในปีนี้ 2.1 พันล้านบาทซึ่งนับว่าสูงมาก และสูงใกล้เคียงปีก่อนที่มีงานใหม่ 2 พันล้านบาท ในปี 61 โครงการลงทุนของภาครัฐก็ยังมีต่อเนื่อง แม้ว่าโครงการถไฟทางคู่จะล่าช้าออกไป แต่คาดว่าปีนี้จะประมูลได้และเริ่มก่อสร้างในต้นปีหน้า โดยโครงการรถไฟทางคู่ ในส่วนงานอุโมงค์ และงานยกระดับ เป็นงานที่ต้องอาศัยผู้รับเหมาฐานราก อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าอีกหลายเส้นทาง ที่ได้เข้า PPP Fast Track แล้ว ได้แก่ งานเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฝั่งตะวันออกและตะวันตก และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - วงแหวนกาญจนาภิเษก ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้ของ SEAFCO ในปี 60-61 มีแนวโน้มเติบโต โดยอยู่ที่ 2.04 พันล้านบาท และ 2.14 พันล้านบาทตามลำดับ บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ โดยให้ SEAFCO เป็น top pick ในกลุ่มรับเหมาฯ โดยได้ปัจจัยบวกจากคาดการณ์กำไรเติบโตสูง และโอกาสการทำกำไรผิดคาดน้อย เพราะมีงานในมือ (backlog) จำนวนมากรองรับเอาไว้แล้ว ,แนวโน้มกำไรรายไตรมาสจะแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจาก backlog ที่มีมาร์จิ้นสูง ถึงแม้ขณะนี้จะมีปัจจัยลบจากการเลื่อนประมูลโครงการรถไฟทางคู่ เข้ามากระทบจิตวิทยาการลงทุน แต่มองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยสะสมหุ้นสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะภาพรวมของอุตสาหกรรมฐานรากยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการทั้งภาครัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้ และโครงการภาคเอกชนต่างๆ ที่คาดจะเริ่มเห็นการลงทุนเพิ่มมากขึ้น