บมจ.ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (TLG) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 160 ล้านหุ้น และอีก ไม่เกิน 4.50 ล้านหุ้น จะเสนอขายต่อพนักงานของบริษัท โดยบริษัทมีความประสงค์จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทย (SET) มีธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปัจจุบันและอนาคต และใช้ สำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ
TLG หรือเดิมชื่อบริษัท ทริพเพิล ไอ อินเตอร์เฟรท จำกัด รวมทั้งบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ดำเนินธุรกิจการให้บริการ ด้านโลจิสติกส์มานานมากกว่า 26 ปี ปัจจุบันกลุ่มบริษัทเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย ให้บริการด้าน การขนส่งสินค้าทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ทางอากาศ ทางทะเล และทางบก การให้บริการด้านพิธีการศุลกากร และ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (supply chain management) ทั้งสำหรับการขนส่งสินค้าจากผู้ประกอบ การไปสู่ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) และ จากผู้ประกอบการไปสู่ผู้บริโภค (Business to Consumer – B2C)
การให้บริการด้านโลจิสติกส์ของกลุ่มบริษัทฯ ครอบคลุมการให้บริการทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป รวมถึงการขนส่งสินค้าที่ต้องการ ความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น การให้บริการโลจิสติกส์สำหรับกลุ่มสินค้าเคมีและสินค้าอันตราย เป็นต้น ทั้งนี้ การให้บริการของกลุ่ม บริษัทดำเนินการภายใต้บริษัท บริษัทย่อย และบริษัทร่วมทุน รวมทั้งหมด 24 บริษัท
กลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายการลงทุนที่เน้นให้ได้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนและเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแผนการลงทุนใน ธุรกิจการให้บริการจัดส่งสินค้าทางอากาศ ธุรกิจการให้บริการจัดส่งสินค้าทางทะเลและทางบก และธุรกิจการให้บริการการจัดการ และการปฏิบัติการทางด้านขนส่งและการจัดการสินค้าคงคลังโดยโครงการต่างๆ สามารถแบ่งออกเป็นโครงการ 11 โครงการตามนี้
โครงการ เงินลงทุนที่ใช้ โครงการเสร็จสิ้น เริ่มรับรู้รายได้ โครงการธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ 1. โครงการจัดตั้งคลังสินค้าระหว่างประเทศ 40.0 ล้านบาท ไตรมาส 4/60 ไตรมาส 1/61 2. โครงการคลังสินค้าเร่งด่วนระหว่างประเทศ (Express Center) 18.5 ล้านบาท ไตรมาส 2/61 ไตรมาส 2/61 3. โครงการขยายศูนย์ขนส่งไปรษณีย์ในประเทศ ระยะที่ 2 7.0 ล้านบาท ไตรมาส 4/60 ไตรมาส 1/61 4. โครงการรับบริหารความปลอดภัยของศูนย์ขนส่งไปรษณีย์ ดอนเมือง 25.0 ล้านบาท ไตรมาส 4/60 ไตรมาส 4/60 5. โครงการขยายสาขาสำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศในภูมิภาค อินโดจีน 15.0 ล้านบาท ไตรมาส 4/60 ไตรมาส 4/60 6. โครงการขยายสาขาการขนส่งสินค้าภายในประเทศ 5.0 ล้านบาท ไตรมาส 2/61 ไตรมาส 2/61 รวม 110.5 ล้านบาท โครงการธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางบก 1. โครงการขยายธุรกิจการให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 55.5 ล้านบาท ไตรมาส 3/60 ไตรมาส 3/60 รวม 55.5 ล้านบาท โครงการธุรกิจการให้บริการการจัดการและการปฏิบัติการทางด้านขนส่งและการจัดการสินค้าคงคลัง 1. โครงการ earlybird e-fulfillment 2.0 ล้านบาท ไตรมาส 2/60 ไตรมาส 3/60 รวม 2.0 ล้านบาท โครงการธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าเคมีและสินค้าอันตราย 1. โครงการขยายพื้นที่บริหารคลังสินค้าอันตราย บางนา กม.39 ระยะที่ 1 7.4 ล้านบาท ไตรมาส 4/60 ไตรมาส 1/61 2. โครงการขยายพื้นที่บริหารคลังสินค้าอันตราย บางนา กม.39 ระยะที่ 2 5.1 ล้านบาท ไตรมาส 3/61 ไตรมาส 4/61 3. โครงการซื้อรถขนส่งและกระจายสินค้าอันตราย 50.0 ล้านบาท ไตรมาส 1/61 ไตรมาส 1/61 รวม 62.5 ล้านบาท
เงินลงทุนในโครงการต่างๆ จะมาจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ประมาณ 230 ล้านบาท นอก เหนือจากเงินลงทุนที่ได้กล่าวมาในข้างต้น บริษัทฯจะต้องจัดเตรียมเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ ประมาณ 38.3 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจสำหรับโครงการในอนาคต เนื่องจากรูปแบบการดำเนิน ธุรกิจของบริษัทฯ จะไม่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่สูงเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง แต่มีความจำเป็นต้องมีการใช้เงินทุนหมุน เวียนที่ค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯมีแผนการขยายธุรกิจและโครงการในอนาคตที่อยู่ในระหว่างศึกษาทั้งในและต่างประเทศซึ่งยังไม่มีความ ชัดเจนและยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ผลการดำเนินงานของบริษัท สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 1,063.8 ล้านบาท หนี้สินรวม 722.5 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 341.2 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,075.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 94.5 ล้านบาท จากปี 58 ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 1,541.7 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.4 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 1 มี.ค.2560 ประกอบด้วย นายทิพย์ ดาลาล ถือหุ้น 138,158,400 หุ้น คิดเป็น 32.13% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะถือหุ้น 141,371,386 หุ้น คิดเป็น 23.39% รองลงมาคือ นายวิรัช นอบน้อมธรรม ถือ หุ้น 105,490,800 หุ้น คิดเป็น 24.53% จะลดการถือหุ้นเหลือ 107,944,074 หุ้น คิดเป็น 17.86% และนายธีรนิติ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ถือหุ้น 59,330,600 หุ้น คิดเป็น 13.80% จะลดการถือหุ้น 60,710,381 หุ้น คิดเป็น 10.04%
บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลัง หักภาษี ทุนสำรองตามที่กำหมายกำหนด และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้