นายเขมทัตต์ พลเดช ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท (MCOT) กล่าวว่า เตรียมเสนอแผนบริหารธุรกิจเข้าที่ประชุมผู้บริหารภายในเดือน เม.ย.นี้ โดยจะเข้ามาพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้นและแก้ไขปัญหาการลดลงของรายได้ โดยช่องโทรทัศน์ทั้ง 2 ช่อง ได้แก่ ช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 และ MCOT Family ช่อง 14 จะต้องมีการปรับโพสสิชั่นใหม่ให้มีความแอคทีฟ สดใสขึ้น เติมในเรื่องของความรู้ ความสนุก เป็นรายการที่ว้าว และเหมาะกับโพสสิชั่นใหม่ที่วางไว้ สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการสร้างบ้านที่ต้องวางรากฐานก่อน คาดว่าจะใช้เวลาในการปรับโพสสิชั่นใหม่ 2-3 เดือน เชื่อว่าจะเห็นผลภายในปลายปี 60 นี้ หรือต้นปี 61
นายเขมทัตต์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของเรตติ้งขณะนี้ช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 อยู่ในอันดับ 10-11 ทั้งที่ผ่านมายังไม่ได้ปรับรายการมากนัก เชื่อว่าหลังจากปรับโพสสิชั่นใหม่จะสามารถกลับมาติดท็อปของกลุ่มทีวีดิจิทัลได้ไม่ยาก เนื่องจากอันดับที่ 6-10 มีเรตติ้งห่างกันเพียงนิดเดียว
"ช่องโทรทัศน์เดิม ได้แก่ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 และช่อง 9 ไม่สามารถทำเซกเม้นต์ได้อย่างโทรทัศน์ดิจิทัลช่องใหม่ เพราะช่องเหล่านั้นมีพื้นฐานจากโปรดักชั่นเฮ้าส์ หากช่อง 9 ทำ เท่ากับเป็นการลดลงไปแข่งขันกับเขา จึงยังต้องคงความหลากหลายของเนื้อหาที่นำเสนอ ไปพร้อมกับการสนับสนุนนโยบายของรัฐ ซึ่งไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 อสมท จึงต้องทำหน้าที่สื่อในการช่วยสร้างความเข้าใจกับสังคมต่อนโยบายของรัฐบาล ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของข่าวเท่านั้น แต่อาจเป็นรูปแบบวาไรตี้ หรือ ควิซโชว์"นายเขมทัต ระบุ
พร้อมทั้งกล่าวว่า การสร้างรายได้ของ อสมท จะมาจาก 2 ทาง ได้แก่ ธุรกิจบรอดแคสต์ ซึ่งรายการโทรทัศน์มีต้นทุนในการผลิต จึงต้องพิจารณารายการที่มีเรตติ้ง และสร้างรายได้ในอนาคต และธุรกิจ นอน-บรอดแคสต์ ซึ่งเป็นไดเรคชั่นใหม่ที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ อสมท มีอยู่ เช่น คลื่นความถี่ ที่ดิน ธุรกิจดิจิทัลมีเดีย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นของมีมูลค่าที่ยังไม่ได้หยิบมาใช้
สำหรับทิศทางธุรกิจทีวีดิจิทัล หลังจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งขยายระยะเวลาจ่ายค่าประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล เชื่อว่าจะเห็นความชัดเจนของผลจากมาตรการดังกล่าวภายในเดือน พ.ค.นี้