บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ในกลุ่มบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 246,666,700 หุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นประมาณ 25% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด ขณะที่จะมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ หรือไม่เกิน 37,000,000 หุ้น และกำหนดระยะเวลาเสนอขายในช่วงวันที่ 20 ,21 และ 24 เมษายน 2560 ขณะที่ PTTGC ตัดสินใจที่จะไม่ขายหุ้นเดิมออกมาพร้อมกับ IPO ครั้งนี้
ทั้งนี้ บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการใช้เงินจากการขายหุ้น IPO เพื่องทุนตามแผนที่มีมูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท ได้แก่ การดำเนินโครงการเมทิลเอสเทอร์ แห่งที่ 2 หรือโครงการไบโอดีเซล แห่งที่ 2 มูลค่าประมาณ 1,150 ล้านบาท ในช่วงปี 2560-2562 , โครงการไบโอคอมเพล็กซ์ มูลค่าประมาณ 1,350 ล้านบาท ในช่วงปี 2560-2563 และใช้เป็นเงินทุนหมนุเวียนและโครงการในอนาคต ประมาณ 500 ล้านบาท ในช่วงปี 2560-2562
สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ บริษัทและผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย จะกำหนดร่วมกันโดยสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Bookbuilding) ซึ่งเป็นวิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคาของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ มีบล.ภัทร และบล.ฟินันซ่า เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ PTTGC จะลดสัดส่วนการถือหุ้นจากปัจจุบันที่ราว 99.99% เหลือ 75% ในกรณีที่ไม่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกิน และเหลือ 72.29% ในกรณีที่มีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน ขณะที่ GGC มีนโยบายการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและทุนสำรองต่าง ๆ
ในปีที่ผ่านมา GGC มีรายได้จากการขาย 17,200 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 961.1 ล้านบาท ขณะที่มีมูลค่าหุ้นตามราคาบัญชี (book value) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ที่ 10.70 บาท/หุ้น
อนึ่ง GGC ได้ยื่นแบบแก้ไขข้อมูลเสนอขายหุ้น (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 จากก่อนหน้านี้ที่จะยื่นไฟลิ่งจะขายหุ้น IPO ไม่เกิน 411.11 ล้านหุ้น แบ่งเป็น หุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 246.67 ล้านหุ้น หรือราว 25% และหุ้นสามัญเดิมของ PTTGC ไม่เกิน 164.44 ล้านหุ้น หรือราว 16.67% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งในขณะนั้น PTTGC ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำหุ้นออกมาขายพร้อมกับ IPO ด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ GGC จะเป็นเรือธง (Flag Ship) ของ PTTGC ในธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีความเข้มแข็งในส่วนของธุรกิจปาล์มเป็นหลัก แต่ในอนาคตจะขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เพื่อต่อยอดเป็นไบโอพลาสติก รองรับการเกิดไบโอคอมเพล็กซ์ในอนาคต ที่มีฐานวัตถุดิบจากพืชเกษตรทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง จากปัจจุบันที่ GGC มีรายได้หลักราว 60% มาจากธุรกิจไบโอดีเซล และ 40% มาจากแฟตตี้แอลกอฮอล์