นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) กล่าวในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันนี้ ว่า แผนการดำเนินงานในปี 60 สำหรับธุรกิจถ่านหิน บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณการขายถ่านหินอยู่ที่ราว 47 ล้านตัน จาก 44.5 ล้านตันในปีก่อน แบ่งเป็น การขายจากเหมืองในอินโดนีเชีย 25.5 ล้านตัน ,ออสเตรเลีย 12.5 ล้านตัน และจีนราว 9-10 ล้านตัน ซึ่งสูงจากเดิมที่คาดว่าปีนี้จะมีปริมาณขายใกล้เคียงปีก่อน โดยเป็นไปตามแนวโน้มราคาถ่านหินที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากปี 59 ที่ราคาขายถ่านหินของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 51.5 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ขณะที่เชื่อว่าทิศทางของราคาถ่านหินจากนี้ไป ทั้งปริมาณการผลิตและความต้องการใช้ถ่านหินน่าจะปรับตัวสมดุลกันมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินมีเสถียรภาพมากขึ้น และน่าจะหนุนให้รายได้ของบริษัทในปีนี้เติบโตกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทได้ขายถ่านหินล่วงหน้า จากเหมืองอินโดนีเซียไปแล้ว 61% และยังเหลืออีก 39% ที่ยังไม่ได้ขาย ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูจังหวะราคาขายที่เหมาะสม ส่วนในประเทศออสเตรเลีย ได้ขายถ่านหินล่วงหน้าไปแล้ว 89% เหลืออีก 11% ที่ยังไม่ได้ขาย
พร้อมกันนี้การดำเนินงานอื่น ๆ ของธุรกิจถ่านหิน บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิตอย่างต่อเนื่อง , พัฒนาระบบการขนส่ง โดยการพัฒนาถนนที่ใช้ในการขนส่ง บริหารการขนส่งโดยรถไฟ ปรับปรุงเครื่องจักรลำเลียงถ่านหิน และปรับปรุงการขนส่งทางเรือ, พัฒนาการดำเนินการขาย จากการพัฒนาสินค้า และการขยายฐานลูกค้า ซึ่งบริษัทจะขยายฐานลูกค้าไปยังประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลกำไรในทุกสัดส่วนของการผลิต จากการบริหารการซื้อถ่านหินในแหล่งอื่น และบริหารต้นทุนราคาน้ำมัน
สำหรับการลงทุนของธุรกิจถ่านหิน บริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุน หรือเข้าซื้อเหมืองถ่านหินแห่งใหม่ ในประเทศอินโดนีเชีย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และก็อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อเหมืองถ่านหิน ในประเทศออสเตรเลียเพิ่มเติมอีก
นางสมฤดี กล่าวว่า สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทวางเป้าหมายในปี 68 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 เมกะวัตต์ และจะมีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 20% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,930 เมกะวัตต์
โดยแผนการดำเนินงานในธุรกิจพลังงาน ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง มณฑลซานซี ประเทศจีน กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ ซึ่งมีการดำเนินงานไปแล้วราว 35% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 61 และน่าจะสามารถรับรู้กำไรเข้ามาได้ในช่วงปลายปีหน้า
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมืออยู่ที่ 200 เมกะวัตต์ โดยได้จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) แล้ว 103.6 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 97 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการจัดหาเงินทุนไว้แล้ว โดยยังมองโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ,เวียดนาม ,ลาว และจีน ประกอบกับยังมองโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานลม ในแถบเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย
ด้านธุรกิจ Oil & Gas ที่ปัจจุบันมีอยู่ 2 โครงการ ในสหรัฐฯ คาดว่าในปีนี้ จะได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นางสมฤดี กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงแผนการดำเนินงาน 5 ปี (ปี 59-63) ไว้ตามเดิม โดยมองว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจถ่านหินจะเพิ่มขึ้นเป็น 78% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 70% เป็นไปตามการผลิต และราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการใช้ถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง และธุรกิจพลังงาน คาดว่าในปี 63 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2,580 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% ขณะที่ธุรกิจ Oil & Gas จะมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติเห็นด้วย และอนุมัติให้บริษัทออกและขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะเป็นสกุลเงินบาท หรือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้ตามสมควร เพื่อทดแทนมติวงเงินหุ้นกู้เดิม ที่จะครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะใช้ ก็ต่อเมื่อมีความต้องการใช้เงิน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็จะมีการออกหุ้นกู้ปีละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้นๆ