นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของราคาทองคำตลาดต่างประเทศในไตรมาสแรกปี 60 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 96.98 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 8.4% ถือเป็นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 ปี โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 31 มี.ค.60 ที่ 1,248.63 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากแถลงการณ์ของเฟดส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าที่ตลาดบางส่วนคาดไว้ ส่งผลให้เกิดแรงขายกดดันให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลง
ประกอบกับ การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพ"อเมริกันเฮลธ์แคร์"ให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งส่งผลในเชิงลบต่อความเชื่อมั่นในความสามารถของประธานาธิบดีทรัมป์ในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในฝั่งยุโรป ทั้งการเลือกตั้งในหลายประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ตลอดจนการที่อังกฤษได้ประกาศมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนเพื่อเริ่มกระบวนการเจรจาแยกตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) อย่างเป็นทางการ ความไม่แน่นอนดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงและถือเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพในช่วงไตรมาสแรกของปี 60
ส่วนด้านราคาทองคำในประเทศ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 500 บาทต่อบาททองคำ หรือประมาณ 2.5% เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินบาทหลังสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวขึ้นได้น้อยกว่าการปรับขึ้นของราคาทองคำต่างประเทศ
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับไตรมาส 2 นั้น ประเด็นสำคัญที่จะเข้ามาชี้นำตลาดทองคำยังคงอยู่ที่การตอบรับของนักลงทุนต่อนโยบายต่างประเทศและนโยบายในประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยหากเกิดการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อนโยบายของทรัมป์อาจส่งผลให้หนุนสินทรัพย์เสี่ยงให้ปรับตัวขึ้นและกดดันทองคำได้
แต่หากนโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งกับนานาประเทศหรือส่งผลต่อการค้าโลก หรือประธานาธิบดีทรัมป์ประสบเผชิญอุปสรรคในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง ซึ่งรวมถึงแผนการลดภาษีและการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันสินทรัพย์เสี่ยงและกลับมาหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ติดตามการเลือกตั้งของฝรั่งเศสในเดือน เม.ย.และ พ.ค. ทั้งนี้ หากพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดได้รับชัยชนะหรือได้คะแนนเสี่ยงมากเกินคาดอาจบ่งชี้ถึงกระแสต่อต้านกลุ่มฐานอำนาจเดิมในอียูซึ่งสั่นคลอนอนาคตของอียู ขณะที่สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดๆ ไปของเฟดก็ยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญ อีกทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งประเด็นเกาหลีเหนือและการก่อการร้ายถือเป็นจุดสนใจที่ต้องติดตามเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน วายแอลจี มองว่าถึงแม้ดอกเบี้ยสหรัฐจะเริ่มอยู่ในช่วงที่เป็นขาขึ้นแต่ปัจจัยความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจทั่วโลกจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำเช่นกัน โดยแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาใกล้บริเวณแนวรับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 19,600 บาทต่อบาททองคำ และรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นแต่ไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านบริเวณ 1,272 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 20,800 บาทต่อบาททองคำได้อย่างแข็งแกร่ง
แต่หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือแนวต้านดังกล่าวได้แนะนำรอขายบริเวณแนวต้านสำคัญถัดไปในโซน 1,286-1,300ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,000-21,200 บาทต่อบาททองคำ และเน้นย้ำว่านักลงทุนควรวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน มีจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุนและปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด (ราคาไทยคำนวณจากค่าเงินบาท ณ ระดับ 34.50 บาท/ดอลลาร์)
“ทองคำยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าลงทุน โดยก่อนที่นักลงทุนจะลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตามก็ควรจะต้องมีการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด พร้อมทั้งประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้และจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและเงินทุนของตนเอง" นางสาวฐิภา กล่าว