นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรก มีปัจจัยสนับสนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยที่จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลเริ่มมีความชัดเจนในเรื่องการเดินหน้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะประกาศใช้ในวันที่ 6 เมษายนนี้ ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐสำหรับการลงทุนขนาดใหญ่จะออกมามากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนมากขึ้น ด้านการส่งออกยังมีแนวโน้มที่ค่อย ๆ ทยอยปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างดี
บล.เอเซีย พลัส ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 60 ที่ระดับ 3.5% สูงกว่าปีก่อนที่เติบโต 3.2% โดยยังคงประมาณการดัชนี SET สิ้นปี 60 อยู่ที่ 1,620 จุด ระดับ P/E ที่ 16 เท่า และประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 60 เติบโต 7.13% มาที่ 9.91 แสนล้านบาท จากระดับ 9.03 แสนล้านบาทในปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากสัดส่วนกำไรของกลุ่มพลังงานที่กลับมาเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีก่อนที่ 10% เพราะราคาน้ำมันทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/60 คาดว่าจะใกล้เคียงหรือมากกว่าเล็กน้อยจากไตรมาส 1/59 ที่อยู่ระดับ 2.26 แสนล้านบาท โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มสินเชื่อเติบโตได้ค่อนข้างดี ซึ่งคาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1/60 จะอยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านบาท และกลุ่มพลังงานที่กำไรเริ่มกลับมาสู่ระดับปกติ จากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน (Stock loss) เริ่มหมดไปหลังราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งคาดว่ากำไรของกลุ่มพลังงานในไตรมาส 1/60 จะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 2 กลุ่มธุรกิจถือเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตโดดเด่นและช่วยสนับสนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/60 อยู่ในระดับที่ดี
ขณะเดืยวกันภายใต้การคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ จะเติบโตได้กว่า 10% ทำให้มีการซื้อขายกันด้วย P/E ในระดับสูง 18 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทำให้ตลาดจะมีการปรับฐานหากการปรับลดภาษีของสหรัฐทั้งระบบไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ในขณะที่ตลาดหุ้นไทย P/E ของตลาดอยู่ที่ 15.2 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับถูกหรือใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านและตลาดในยุโรปบางแห่ง แต่หากเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรบจ. ที่คาดว่าจะโตเพียง 7.13% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่สูงมากส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยลง
"แนวโน้มการเคลื่อนไหวของกระแสเงินทุนในไตรมาส 2/60 อาจจะเผชิญกับแรงกดดันจากสหรัฐฯที่เข้าสู่ช่วงภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยรอบนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่ค่อยมีความไม่น่าสนใจ หลัง P/E สูงถึง 16.5 เท่า และ EPS Growth ปีนี้ก็เติบโตในระดับต่ำอยู่ที่ 7.13% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก และยังสอดคล้องกับสถิติ 10 ปีย้อนหลัง ที่พบว่าไตรมาส 2 ต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยเฉลี่ยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการขายสุทธิถึง 7 ใน 10 ปี"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนนั้น แต่กลยุทธ์การลงทุนจะให้เน้นไปที่หุ้นที่มีหนี้สินต่ำหรือได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างเช่น บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) และหุ้นที่มีสถานะเงินสดมากและได้แรงหนุนจากกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น เช่น บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) ส่วนกลุ่มโรงพยาบาลที่น่าสนใจ คือ บมจ.โรงพยาบาล ลาดพร้าว (LPH) กลุ่มโทรคมนาคมแนะนำให้ Switch ออกจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์หลังจากที่มีภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและกดดันกำไร แต่ให้แนะนำให้หันมาลงทุนหุ้นโทรคมนาคมที่รับเหมางานโครงข่ายและมี P/E ที่ไม่สูงมาก เช่น บมจ.เอแอลที เทเลคอม (AIT)
ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแนะนำบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) เพราะเป็นผู้รับเหมาที่ได้รับงานรถไฟฟ้าครบทุกสายที่เปิดประมูลทั้งหมด 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม เหลือง และชมพู และมีแนวโน้มที่งานในมือ (Backlog) ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้สูง ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่จะได้อานิสงส์จากการลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และแนวโน้มของการขอสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่จะเพิ่มสูงขึ้น หลังภาคธุรกิจเริ่มหลีกเลี่ยงการออกหุ้นกู้และตั๋ว B/E เพราะช่วงที่ผ่านมามีปัญหาเกิดขึ้นมา ทำให้ภาคธุรกิจจะหันมาใช้สินเชื่อของธนาคารเพิ่มขึ้น ประกอบกับสินเชื่อรายย่อยที่มีแนวโน้มเติบโตโดยเฉพาะบัตรเครดิตกับสินเชื่อเช่าซื้อที่ธนาคารต่าง ๆ เริ่มรุกมากขึ้น โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์แนะนำ ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB)