นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ ประธานเจิหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทในวันนี้อนุมัติให้เข้าซื้อและรับโอนกิจการที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 บริษัท จากบมจ.ปตท. (PTT) โดยในเบื่องต้นประเมินว่าจะต้องใช้วงเงินทั้งสิ้นราว 2.63 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เกิน 2.68 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท
กระบวนการซื้อกิจการและรับโอนกิจการทั้ง 6 บริษัทคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.60 แต่สามารถขยายเวลาไปถึงเดือน เม.ย.61 ซึ่งการรับโอนกิจการเข้ามาจะมีทั้งสินทรัพย์และหนี้สิน ซึ่งเชื่อว่าการรับโอนหนี้สินเข้ามาจะไม่ได้มีผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะเพิ่มขึ้นเพียงเลึกน้อยมาอยู่ที่ 0.6 เท่า จากเดิม 0.58 เท่า แต่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการนำผลิตภัณฑ์ของกิจการที่ซื้อมาต่อยอดให้กับธุรกิจเดิม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัทที่ต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และต้องการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำต่างๆ เพื่อก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมี
ส่วนการที่บริษัทตัดสินใจไม่ขายหุ้นบมจ.วีนิไทย (VNT) ที่ถืออยู่ 24.98% ให้กับกลุ่มบริษัทอาซาฮี กลาส ที่ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ VNT เป็นไปตามความแนะนำของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับการชายหุ้น VNT ที่บริษัทถืออยู่ออกไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอผลการศึกษาของที่ปรึษาทางการเงินอิสระว่าจะมีแนวทางการร่วมมือด้านกลยุทธ์ (Synergy) กับทางกลุ่มอาซาฮี กลาส อย่างไร และบริษัทยืนยันว่าไม่มีแผนที่จะขายหุ้น VNT ออกอย่างแน่นอน
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของ PTTGC ในปีนี้ยังคงเป้าหมายเดิมที่จะเติบโต 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.46 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 25% มาที่ระดับ 52-55 เหรียญ/บาร์เรล จากราว 41 เหรียญ/บาร์เรล ในปีก่อน ขณะเดียวกันยังคาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 232 เหรียญ/ตัน จากปีก่อน 185 เหรียญ/ตัน เนื่องจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์เบนซินมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากปริมาณการผลิตใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดได้เลื่อนออกไป ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนยังคงทรงตัว