นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า อัตราการทำกำไรของบริษัทในปีนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากการรับรู้ผลการดำเนินงานโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) และโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 2 โรงที่เปิดดำเนินการในปีที่แล้วรับรู้รายได้เต็มปี อีกทั้งคาดว่าจะรับรู้กำไรจากมาตรการเพิ่มผลกำไรและลดค่าใช้จ่ายราว 70 เซนต์/บาร์เรล หรือราว 2.45 พันล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีกำไรจากส่วนนี้ราว 3.6 พันล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิต การบริหารจัดการซื้อน้ำมันดิบ การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายซึ่งดำเนินงานมาหลายปีต่อเนื่องแล้ว
นอกจากนี้คาดว่าระดับราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้จะอยู่ที่ราว 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้คาดว่าจะไม่เผชิญปัญหาการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในปริมาณสูงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่การใช้อัตรากำลังการกลั่นน้ำมันในปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 108%
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการออกหุ้นกู้ในวงเงินรวมเพิ่มเติมจำนวน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 65 เพื่อใช้เป็นเงินทุนระยะยาว แต่ช่วงเวลาการออกหุ้นกู้ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ตลาด และการใช้เงินลงทุนด้วย
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการในอนาคตและโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการขยายขีดความสามารถด้านสาธารณูปโภคทั้งการขยายสถานีจ่ายน้ำมันทางรถ ท่าเทียบเรือ และการสร้างถังน้ำมันดิบ และปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นตามปกติ รวมกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project:CFP) มูลค่าราว 4 พันล้านเหรียญสหรัฐที่อยู่ระหว่างออกแบบทางวิศวกรรมเบื้องต้น เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และมีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ ตลอดจนขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบัน
นายอธิคม กล่าวว่า การดำเนินโครงการพลังงานสะอาดดังกล่าว เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้น้ำมันดิบให้มีความหลากหลายจากปัจจุบันที่ใช้น้ำมันดิบราว 79% มาจากดูไบ ซึ่งการใช้น้ำมันดิบจากหลายแหล่งจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรและค่าการกลั่น (GRM) ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การขยายกำลังกลั่นเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จะทำให้ได้การประหยัดต่อขนาด (economy of scale) สำหรับการ upgrade ในส่วนขั้นปลาย โดยเฉพาะการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตาที่มีมูลค่าต่ำซึ่งปัจจุบันผลิตได้ในสัดส่วน 9% เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบิน ที่มีความต้องการของตลาดสูงในอนาคต จากปัจจุบันที่มีการผลิตน้ำมันดีเซลได้ในสัดส่วน 39% และน้ำมันเครื่องบิน 21%
สำหรับแผนการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทยังคงโฟกัสในภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก นอกเหนือจากที่มีการลงทุนในเวียดนามแห่งเดียวในนามของบริษัท ท็อป โซลเว้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายสารละลาย ซึ่งปีที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 1.8 พันล้านบาท หรือประมาณ 0.7% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนการลงทุนในเมียนมาและอินโดนีเซียนั้น ยังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน แต่เริ่มต้นจะเข้าไปลงทุนด้านเทรดดิ้งในตลาดที่มีศักยภาพสูง ขณะที่การลงทุนสินทรัพย์ขนาดใหญ่นั้นยังขึ้นอยู่กับโอกาสของการศึกษา
ด้านนายฉัตรฐาพงศ์ วังธนากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านการพาณิชย์องค์กร TOP กล่าวว่า โครงการพลังงานสะอาดจะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการเบื้องต้นในเดือน พ.ค. หลังจากนั้นจะไปหาผู้รับเหมาเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาก่อนจะมีการอนุมัติลงทุนขั้นสุดท้ายในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าต่อไป หากเริ่มดำเนินก็คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 65
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯโจมตีซีเรียนั้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันตลาดโลกขยับขึ้นมาเล็กน้อย แต่คาดว่าจะยังคงเป็นแค่ช่วงสั้น เพราะยังต้องรอดูสถานการณ์ในระยะต่อไปด้วย ขณะที่ปริมาณการผลิตในตลาดโลกยังมีอยู่สูง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ขยับขึ้นมาก่อนหน้านี้จากความคาดหวังว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอนโอเปกจะขยายเวลาลดการผลิตออกไปอีกจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือนมิ.ย. โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนการประชุมเดือนพ.ค.นี้