ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 13,000 ล้านบาทของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืมและใช้ในการลงทุนตามแผน รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทด้วย
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลำดับที่ 3 ของประเทศซึ่งมีสถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักภายใต้ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) (ได้รับอันดับเครดิต “BBB+/Stable") โดยบริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านการดำเนินงานและความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างต่อเนื่องจาก TRUE อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากฐานะการเงินที่อ่อนตัวลงจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนราคาค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ที่สูง และการลงทุนจำนวนมากเพื่อขยายโครงข่าย 4G ทั่วประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำในการให้บริการด้านข้อมูลเอาไว้ได้และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง อีกทั้งจะยังคงสถานะการเป็นธุรกิจหลักของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นต่อไป การเปลี่ยนแปลงใดใดที่จะเกิดกับอันดับเครดิตของ TRUE จะส่งผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทตามไปด้วย
ทั้งนี้ โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญและมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นโดยไม่ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแย่ลง ความเสี่ยงที่บริษัทจะถูกปรับลดอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทไม่สามารถสร้างรายได้จากการลงทุนซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงจากที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์เอาไว้อย่างมาก
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่มีมาในอดีต เช่น ค่าธรรมเนียมเพื่อใช้โครงข่าย (Access Charge) หรือการประเมินภาษีสรรพสามิต และอื่น ๆ ยังคงดำรงอยู่และจะยังไม่มีผลสิ้นสุดในเร็ววันนี้ โอกาสที่จะเห็นผลสิ้นสุดทางกฎหมายของข้อพิพาทที่ออกมาในทางลบในระยะอันใกล้นี้จึงยังไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากผลทางกฎหมายส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น ก่อตั้งในปี 2553 โดยมี TRUE เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดย TRUE ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมแบบผสมผสานโดยให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก อันดับเครดิตของบริษัทมีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของ TRUE เป็นอย่างมากเมื่อพิจารณาถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์และสัดส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีต่อกลุ่ม TRUE กล่าวคือ บริษัทสร้างรายได้ในปี 2559 คิดเป็นสัดส่วน 74% ของรายได้รวมของ TRUE และสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คิดเป็นสัดส่วน 81% ของ EBITDA รวมของ TRUE
นอกจากนี้ TRUE ยังเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในการดำเนินงานของบริษัททั้งในเรื่องการแต่งตั้งกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินในรูปแบบการเพิ่มทุนมูลค่ารวมประมาณ 85,000 ล้านบาทในช่วงปี 2554-2557 ในเดือนมิถุนายน 2559 TRUE ได้เพิ่มทุนจำนวน 60,000 ล้านบาทให้แก่บริษัทเพื่อสนับสนุนการประมูลคลื่นความถี่ 1800 และ 900 เมกะเฮิร์ทซ์ ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจาก TRUE ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทและเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัท
บริษัทให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิร์ทซ์ (Megahertz -- MHz) ภายใต้สัญญาขายส่งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กับ บมจ.กสท โทรคมนาคม (กสท.) และให้บริการบนคลื่นความถี่ภายใต้ใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งรวมถึงคลื่น 2.1 กิกะเฮิร์ทซ์ (Gigahertz -- GHz) เพื่อรองรับความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทได้ประมูลคลื่น 1800 เมกะเฮิร์ทซ์ภายใต้ใบอนุญาต 18 ปีและคลื่น 900 เมกะเฮิร์ทซ์ภายใต้ใบอนุญาต 15 ปี เนื่องจากบริษัทมีจำนวนคลื่นความถี่สำหรับให้บริการมากที่สุดจึงทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการบริหารจัดการคลื่นความถี่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
ฐานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของรายได้รวมจากการให้บริการของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยและสร้างรายได้จากการลงทุน ฐานะการแข่งขันของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 2555-2559 รายได้ของบริษัทจากการให้บริการซึ่งไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge -- IC) เติบโตในอัตราที่ดีกว่าอุตสาหกรรมโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการบริการด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมาก บริษัทมีรายได้บริการซึ่งไม่รวมค่า IC เติบโตเฉลี่ย 16.4% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อัตรา 5.9% ต่อปี
ณ สิ้นปี 2559 บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านรายได้คิดเป็นประมาณ 23.7% ของรายได้รวมอุตสาหกรรมให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย และมีส่วนแบ่งตลาด 24.8% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 33% ของรายได้รวมจากการให้บริการภายในสิ้นปี 2561 อย่างไรก็ดี เป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม
สถานะการเงินของบริษัทได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากต้นทุนค่าใบอนุญาตและการลงทุนขยายโครงข่ายที่สูง ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรยังได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง ในปี 2559 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอยู่ที่ 93,876 ล้านบาท รายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น 28.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอยู่ที่ 57,856 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้รายได้จะเติบโตอย่างน่าพอใจ แต่บริษัทก็มีผลการดำเนินงานขาดทุนจำนวน 5,000 ล้านบาท ในขณะที่การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจะยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตข้างหน้าอีกหลายปี
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับสถานะอันดับเครดิตในปัจจุบัน ค่าใบอนุญาตที่สูงและการลงทุนขยายโครงข่ายทำให้ภาระหนี้ของบริษัท (รวมหนี้สินจากการเช่าดำเนินงานและค่าใบอนุญาตค้างจ่าย) เพิ่มขึ้นจากประมาณ 30,600 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2557 เป็น 170,200ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ทั้งนี้ TRUE ได้เพิ่มทุนให้แก่บริษัทจำนวนประมาณ 60,000 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งทำให้โครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 65.21% ณ สิ้นปี 2559 อนึ่ง อัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงหากพิจารณารวมเงินสดที่บริษัทถืออยู่ ณ สิ้นปี 2559 จำนวน 38,900 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสร้างรายได้จากการลงทุนโดยไม่ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สมมติฐานของ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการให้บริการของบริษัทจะเติบโตโดยเฉลี่ย 10%-20% ต่อปีในช่วงปี 2560-2561 และรายได้ของบริษัทจะอยู่ในระดับ 100,400-106,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รายได้ที่เติบโตดังกล่าวจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงและจะยังเป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการทำกำไรของบริษัท อัตราส่วนกำไรของบริษัท (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 14%-18% ต่อปี โดยบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับ 12,000-17,000 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2560-2561 และมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับ 11%-16% ในช่วงเดียวกัน
แหล่งเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระรวมประมาณ 20,600 ล้านบาท ค่าใบอนุญาตที่ครบกำหนดชำระ 9,900 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนอีกประมาณ 30,000 ล้านบาทในช่วงระยะเวลาดังกล่าว แหล่งสภาพคล่องของบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานที่ระดับไม่น้อยกว่า 12,400 ล้านบาท เงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นปี 2559 ประมาณ 38,900 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้รวมอีก 13,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากความต้องการเงินทุนของบริษัทสูงกว่าที่ประมาณการไว้ บริษัทอาจต้องก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ทั้งนี้ หากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 65% อย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท