นายสัจจา เจนธรรมนุกูล ประธานกรรมการ บมจ.อาร์พีซีจี (RPC) คาดว่า ผลดำเนินงานของบริษัทในปี 60 มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไร จากปีก่อนมีผลขาดทุน 69.24 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเน้นการบริหารจัดการต้นทุน รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของธุรกิจในทุกด้าน อีกทั้งบริษัทจะมีการบันทึกกำไรพิเศษที่เป็นค่าเสียหายจาก บมจ.ปตท.(PTT) ราว 1.5 พันล้านบาท หลังจากคณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้ PTT ชำระค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญากับบริษัทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะ PTT ไม่ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายกากคอนเดนเสต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เคยศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าจากขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล แต่มองว่าโซลาร์ฟาร์มคุ้มค่ามากกว่า
"บริษัทมีความมุ่งมั่นในการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพและสร้างผลตอบแทนที่ดี เพื่อสามารถยกระดับธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้"นายสัจจา กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการพิจารณาขายโรงกลั่นในจังหวัดระยอง ยังคงเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเจรจา ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่เงื่อนไขในการซื้อขายยังคงเดิม คือ การซื้อเพียงโรงกลั่น หรือซื้อทั้งโรงกลั่นรวมที่ดินกว่า 31 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทเคยทำสัญญาจะซื้อจะขายกับผู้ซื้อจากต่างประเทศ มูลค่า 200 ล้านบาทไม่รวมที่ดิน โดยมีการวางมัดจำไว้ 40 ล้านบาท เหลือวงเงินที่ต้องชำระอีก 160 ล้านบาท แต่ผู้ซื้อรายดังกล่าวไม่สามารถชำระเงินในส่วนที่เหลือได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ทำให้รายการซื้อขายดังกล่าวนี้ต้องยกเลิกไป
สำหรับธุรกิจจำหน่ายน้ำมันแบบค้าปลีกผ่านสถานีบริการน้ำมันภายใต้ชื่อ "PURE" ในปี 60 ยังไม่มีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่จะหันมาเน้นการขยายสาขาในรูปแบบเฟรนไชส์เพิ่มมากขึ้นแทนการลงทุนด้วยตนเอง เพราะสามารถขยายจำนวนไปทั่วประเทศได้รวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนของบริษัทด้วย ซึ่งบริษัทมีกลยุทธ์ดึงดูดผู้สนใจด้วยการไม่เก็บค่าธรรมเนียมเฟรนไชส์
กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถมีการบริหารจัดการและลดต้นทุนเพื่อให้ภาพธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทราว 97% มาจากธุรกิจจำหน่ายน้ำมันแบบค้าปลีกผ่านสถานีบริการน้ำมัน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เพียวพลังงานไทย จำกัด ซึ่งมีจำนวนสถานีบริการน้ำมัน "PURE" ที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนและบริหารจำนวน 51 สถานี และรูปแบบเฟรนไชส์จำนวน 4 สถานี โดยการเพิ่มจำนวนเฟรนไชส์จะเน้นไปขยายไปในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง กรุงเทพฯและปริมณฑล