นายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัท ทาคูนิ แลนด์ จำกัด อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งแรกบนที่ดินทำเลย่านบางแค หลังจากเข้าซื้อที่ดินไว้แล้วจำนวน 12 ไร่ และพิจารณาจะซื้อเพิ่มอีก 9 ไร่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งแรกของปีนี้ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงปี 62
สำหรับที่ดินแปลงแรกที่จะนำมาพัฒนาอยู่ในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ใกล้ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางแค ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ หรือคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ แต่หากจะพัฒนาคอนโดฯ จะต้องซื้อที่ดินเพิ่มอีกราว 9 ไร่เพื่อให้อยู่ในเขตไม่เกิน 700 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า
สำหรับแนวทางการลงทุนนั้น เบื้องต้นหากตัดสินใจพัฒนาโครงการแนวราบก็จะใช้เงินสดในมือที่มีอยู่ราว 300 ล้านบาท แต่หากเป็นคอนโดฯ ก็จะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินบางส่วน ซึ่งขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ในระดับต่ำเพียง 0.62 เท่า นอกจากนั้น บริษัทยังเปิดกว้างสำหรับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยเน้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการลงทุนดังกล่าว
นายประเสริฐ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีประสบการณ์ในการรับงานก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้ว และด้วยราคาของการขายโครงการที่คาดว่าจะไม่สูงนัก ประกอบกับ ทำเลที่ดินที่ไม่ห่างจากรถไฟฟ้ามากนัก เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย
"พื้นที่ของเราค่อนข้างน่าสนใจเพราะที่ดินนี้ห่างจากรถไฟฟ้าไม่มาก ตอนแรกเราก็มองการร่วมลงทุน ซึ่งอาจจะเป็นการดึง บจ.ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ แต่พอมีการเจรจาไปแล้วไม่ได้บรรลุข้อตกลง เราก็จึงมีแนวคิดที่ว่าเราจะมาลงทุนเอง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีพันธมิตรเข้ามา แต่เราจะร่วมกับ บจ. เท่านั้น หากได้ข้อสรุปแล้วก็จะวางแผนการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาช่วงต้นปี 62"นายประเสริฐ กล่าว
ด้านนางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TAKUNI กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้ 1,652.74 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16.50 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซ LPG ยังคงชะลอตัว โดยยอดขายก๊าซ LPG ในตลาดรวมทั้งในส่วนของขนส่ง ตลาดปิโตรเคมี ครัวเรือน และโรงงาน ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทคาดหวังว่าจะรักษาระดับปริมาณการขายในปีนี้ไว้ที่ 4.8 หมื่นตัน
ส่วนธุรกิจทดสอบและตรวจสอบความปลอดภัยทางวิศวกรรมนั้น ในช่วงที่ผ่านมางานในตลาดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้การแข่งขันการตลาดค่อนข้างสูง จึงส่งผลให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้ปริมาณไม่มากนัก บริษัทจึงคาดว่าปีนี้ผลประกอบการจากธุรกิจนี้จะทรงตัวเช่นกัน
ขณะที่ธุรกิจขนส่งก๊าซ LPG นั้น ปัจจุบันบริษัทมีรถบรรทุกก๊าซอยู่ทั้งหมดกว่า 20 คัน และบริษัทได้งานเพิ่มเติมเข้ามาคือ การขนส่งแอมโมเนียให้กับบมจ.ปตท. (PTT) โดยอยู่ระหว่างสั่งประกอบรถคันใหม่อีก 2 คันเพื่อให้บริการดังกล่าว มูลค่าการลงทุนราว 5-6 ล้านบาท/คัน คาดว่าจะเริ่มขนส่งได้ในช่วงไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป
สำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอลุ้นที่จะมีการเปิดประมูลงานใหม่เกี่ยวกับระบบก๊าซ แต่ยังไม่สามารถระบุมูลค่าของงานได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากได้งานดังกล่าวจะสามารถผลักดันให้มาร์จิ้นไปได้ดีเหมือนกับปี 58
นางสาวนิตา กล่าวอีกว่า งานภายใต้ บริษัท ซี เอ แซด (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยนั้น ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) 651.41 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ส่วนใหญ่ในปีนี้ และส่วนที่เหลือจะไปรับรู้ในปี 61 นอกจากนั้นยังอยู่ระหว่างรอผลประมูลงานอีกกว่า 800 ล้านบาท หากได้งานดังกล่าวก็เชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้รายได้รวมของบริษัทในปีนี้เติบโตได้ในระดับ 10-15%
"ปีนี้ช่วงต้นปีเหมือนจะดีขึ้น แต่ด้วยราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้การลงทุนต่างๆที่เกี่ยวกับก๊าซออกมาไม่มากนัก ความต้องการใช้ก๊าซในตลาดก็ทยอยลดลงมาอย่างต่อเนื่องด้วย เราจึงคาดว่าผลประกอบการปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากงานต่างๆที่เราประมูลอยู่ในปัจจุบันมีเข้ามาเพิ่มเติม ก็มีความเป็นไปได้ที่ว่ารายได้จะเติบโตได้ 10-15% แต่ด้วยงานที่ไม่เข้ามาเราจึงยังไม่ได้มาคิดรวมกับประมาณการผลประกอบการปีนี้"นางสาวนิตา กล่าว