นางทรงศรี ศรีรุ่งเรืองจิต กรรมการผู้จัดการ บมจ.วินท์คอม เทคโนโลยี (VINTCOM) ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ออราเคิล และผู้นำการให้บริการและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร กล่าวว่า บริษัทได้รับการต่างตั้งให้เป็นตัวแทนการจำหน่ายสินค้า Palo Alto Networks อย่างเป็นทางการในเมียนมา ลาว และกัมพูชา หรือกลุ่ม CLM และคาดว่าในเร็ว ๆ นี้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเพิ่มอีก 1 รายการ โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายจากกลุ่มประเทศดังกล่าวทั้งปีประมาณ 270 ล้านบาท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายในการจำหน่ายสินค้า Palo Alto Networks เป็นกลุ่มสถาบันการเงินระดับชั้นนำ และหน่วยงานราชการ ในกลุ่มประเทศ CLM ที่มีความต้องการสำรองข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการเข้าไปลงทุนของบริษัทต่าง ๆ
นางทรงศรี กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการรุกทำรตลาดให้บริการหลังการขายด้านไอซีทีแบบครบวงจรมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน ภายใต้ชื่อบริษัท วีเซิร์ฟพลัส จำกัด ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 51%
ทั้งนี้ วีเซิร์ฟพลัส เป็นผู้ให้บริการก่อนและหลังการขายด้านไอซีทีแบบครบวงจร อาทิ บริการซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ด้านไอทีจากผู้ผลิต Asus, Lenovo, HP, Acer, Brother, Lexmark, Intermec, D-Link, และ Buffalo ให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ด้านไอทีทั้งในและนอกระยะประกันแก่ลูกค้าทั่วประเทศ ผ่านศูนย์บริการ 2 แห่งในกรุงเทพฯ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ร่มเกล้า กับอาคารพันธุ์ทิพย์พลาซ่า และสาขาต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต หาดใหญ่ ระยอง และหนองคาย รวมถึงศูนย์บริการของ Asus และ Lenovo ณ ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารจัดการอย่างเป็นทางการจากเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง
รวมทั้งยังเป็นผู้ให้บริการด้านไอซีทีกับองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ อาทิ การออกแบบโครงสร้างระบบการเชื่อมต่อคลาวด์ การอิมพลิเมนท์ระบบรักษาความปลอดภัย การอินทริเกรท ระบบการให้บริการเว็บไซต์ การให้บริการด้านเทคนิค ไปจนถึงบริการ Call Center เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม และจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทจะใช้งบลงทุนในปีนี้ 300-400 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่วงทางการให้บริการ หลังการขายเพิ่มขึ้น เพิ่มการให้บริการที่หลากหลายอุปกรณ์ หลากลายโปรดักส์ เพราะเล็งเห็นว่าในอนาคตมีโอกาสสร้างกำไรให้กับบริษัทในระดับสูง
ส่วนความคืบหน้าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หลังจากบริษัทเข้าร่วมทุนเพื่อขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจการให้บริการด้านไอซีทีในช่วงที่ผ่านมาซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทมากยิ่งขึ้น และส่งจะผลให้อัตราการเติบโตของรายได้รวมในปีนี้แตะที่ระดับ 2,000 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนรายได้ 65% มาจากรายได้การดำเนินธุรกิจตัวแทนการจำหน่าย และอีก 35% จะมาจากการให้บริการหลังการขายด้านไอซีทีแบบครบวงจร