"หลังจากที่มีการซื้อกิจการในกลุ่ม Osha เข้ามาแล้ว จะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จาก กลุ่ม Osha ในทันที จึงคาดว่าปี 60 บริษัทจะมีรายได้จากการควบรวม 2 กิจการ รวมรายได้ทั้งปี 60 คาดว่าจะสูงกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 50% ซึ่งบริษัทก็จะกลับมามีกำไรหากทำได้ตามเป้าหมาย ก็จะสามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลต่อไป"นายธนากร กล่าว
นายธนากร กล่าวอีกว่า บริษัทวางแผนล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 1.25 พันล้านบาทหมดภายในปีนี้ โดยจะใช้วิธีการลดทุนจดทะเบียนเพื่อล้างขาดทุนสะสม ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการลดทุนจดทะเบียนภายใน 6 เดือนข้างหน้าตามกฏระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วที่ 2.13 พันล้านบาท
หลังจากการล้างขาดทุนะสะสมแล้วเสร็จภายในปีนี้ และผลการดำเนินสามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไรอีกครั้งในปีนี้ หลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี บริษัทก็จะพิจารณาจ่ายเงินปันผลในงวดผลการดำเนินงานปี 61 ซึ่งจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในปี 62 ต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าปัจจัยหนุนที่จะทำให้บริษัทพลิกกลับมามีกำไรได้ในปีนี้ เป็นผลจากการเข้าซื้อร้านอาหารในกลุ่มแบรนด์ Osha มูลค่า 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 5 สาขาในสหรัฐฯ โดยเป็นธุรกิจร้านอาหารที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีกว่า 600 ล้านบาท จะสร้างกำไรให้กับบริษัทมากกว่าแบรนด์ร้านอาหารในเครืออื่น ๆ ซึ่งภายหลังการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวแล้วเสร็จก็จะทำให้เริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ Osha ได้เต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป
นอกจากนี้บริษัทยังได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดของบริษัท จี เอ็นเตอร์ไพรส์ แอนด์ โค จำกัด (จี เอ็นเตอร์ไพรส์) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ "ชิงช้าชาลี" (CHINGCHA CHARLEE) "มูมมามพาร์ค" (MOOMMUUM PARK) "อูมามิ ฟาลาเบลล่า" (UMAMI FALLABELLA) และ"ไพเรทเชมเบอร์" (PIRATE CHAMBRE) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของจี เอ็นเตอร์ไพรส์ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 121.81 ล้านบาทด้วย
ส่วนการลงทุนอื่น ๆ ในปีนี้ บริษัทจะเน้นการขยายสาขาแบรนด์ร้านอาหารในเครือให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะร้านอาหารไนกลุ่มไลฟ์สไตล์ เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่ โดยเบื้องต้นจะขยายแบรนด์ร้านอาหารกลุ่มไลฟ์สไตล์อีก 2 สาขา ที่ทองหล่อและสุขุมวิท 11 เงินลงทุน 100 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทวางงบลงทุนทั้งหมด 600 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อกิจการ 400 ล้านบาท และอีก 200 ล้านบาท ใช้สำหรับการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสิ้นปีนี้บริษัทจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 90 สาขา จากปัจจุบันมีสาขา 70 สาขา
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการหาผู้สนใจเข้ามาซื้อทรัพย์สินและหุ้นที่บริษัทถือครองอยู่ เพราะบริษัทต้องการเน้นธุรกิจอาหารอย่างจริงจัง และจะทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารในอนาคตเป็น 100% โดยปัจจุบันมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดินในจังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างการให้ที่ปรึกษาทางการเงินหาผู้สนใจที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนา โดยมีทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่สนใจ อีกทั้งจะขายหุ้นที่ถืออยู่ในโรงแรม Red Planet สัดส่วน 12% ซึ่งอยู่ระหว่างการหานักลงทุนที่สนใจเข้าซื้อ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถขายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 2 ปีนี้ โดยคาดจะได้เงินจากการขายธุรกิจทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 1.3 พันล้านบาท และจะนำเงินที่ได้มาลงทุนและชำระหนี้บางส่วน ซึ่งบริษัทมีตั๋ว B/E ที่จะครบกำหนดในปี 61 มูลค่า 600 ล้านบาท