โบรกฯแนะ"ซื้อ"SCC มองแนวโน้มผลงานปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดี แม้กำไร Q1/60 อาจไม่สดใส,ธุรกิจปิโตรฯยังแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 24, 2017 14:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มองแนวโน้มผลดำเนินงานปีนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลังทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา เป็นผลจากธุรกิจปิโตรเคมีแข็งแกร่ง เนื่องจากอุปทานใหม่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดมากนัก ผนวกกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ในประเทศช่วยหนุนโมเมนตัมการเติบโตของกำไร

ขณะที่ความครบวงจรของธุรกิจทั้งปูนซีเมนต์และปิโตรเคมี และมีนโยบายเชิงรุกเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องนับเป็นจุดแข็งของ SCC

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 ที่ SCC จะรายงานวันที่ 26 เม.ย.นี้ คาดว่ากำไรสุทธิจะทรงตัวถึงอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้กำไรจากธุรกิจปิโตรเคมียังเติบโต แต่ก็จะถูกหักล้างจากกำไรธุรกิจซีเมนต์และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่อ่อนตัวลง

แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน SCC จะมีกำไรเพิ่มขึ้น หลังจากโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) กลับมาดำเนินงานได้ตามปกติจากที่ปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4/59

ราคาหุ้น SCC อยู่ที่ 544 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท (+0.37%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.01%

          โบรกเกอร์                      คำแนะนำ             ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)               ทยอยซื้อ                  590.00
          ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)         ซื้อ                    600.00
          บัวหลวง                           ซื้อ                    620.00
          ทิสโก้                             ซื้อ                    580.00
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)        ซื้อ                    600.00
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)              ซื้อ                    628.00
          เคจีไอ (ประเทศไทย)                ซื้อ                    640.00

นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดว่าผลการดำเนินงานของ SCC ในไตรมาส 1/60 จะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แม้ธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ยังคงมีส่วนต่าง(สเปรด) ผลิตภัณฑ์อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ธุรกิจซีเมนต์ยังไม่สดใสหลังการก่อสร้างงานโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐยังไม่มีมากนัก และได้รับผลกระทบจากการกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ด้วย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจวัสดุก่อสร้างยังคงเติบโตได้ในช่วงไฮซีซั่น

"performance ของ SCC มาจากธุรกิจปิโตรเคมีเป็นหลัก ขณะนี้ก็ยังดูดีอยู่ สเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมียังอยู่ในเกณฑ์ดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังมองเชิงบวกกันเยอะ แต่ช่วงสั้น ๆ อาจจะได้รับผลกระทบจากเรื่อง fund flow ไหลออก...กำไรในไตรมาส 1 น่าจะทรง ๆ ภาพรวมไม่ได้ลบหรือบวกชัดเจน แต่ในเชิงพื้นฐาน SCC ยังไปได้เรื่อยๆ หลังจากผ่านช่วงที่รุนแรงมากที่สุดที่ราคาน้ำมันปรับลดลงเยอะ ๆ ไปแล้ว และ SCC ยังมองหาการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย"นายธีรวุฒิ กล่าว

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า ผลการดำเนินงานของ SCC ปีนี้จะไม่โดดเด่นเหมือนในปีที่ผ่านมาที่มีฐานกำไรสุทธิสูงมาก เนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่สร้างกำไรราวครึ่งหนึ่งของกำไรทั้งหมดของ SCC คงไม่ดีเท่ากับปีก่อน หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้ว ส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นตามและกดดันต่อสเปรดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่อาจไม่สูงเท่ากับปีที่แล้ว แต่ในระยะยาวยังมีโอกาสเติบโตจากการขยายงานในต่างประเทศ และการลงทุนในโครงการใหม่ รวมถึงแนวโน้มธุรกิจปูนที่ดีขึ้นจะช่วยหนุนกำไรของ SCC กลับมาเติบโตได้ในปี 61

ส่วนไตรมาส 1/60 คาดว่ากำไรของ SCC จะลดลงราว 5.2% จากงวดปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 4.6% จากไตรมาสก่อน มาที่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท โดยผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากการกลับมาผลิตเต็มที่หลังจากปิดซ่อมบำรุงโรงงาน ROC ในไตรมาส 4/59 แต่สเปรดผลิตภัณฑ์หลัก HDPE-แนฟทา ลดลง 87 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่สเปรดของผลิตภัณฑ์พลอยได้ เช่น เบนซีน (BZ) ,Methyl Methacrylate (MMA) และ Butadiene (BD) ดีขึ้น

ด้านธุรกิจปูนซีเมนต์,วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์อ่อนลง เนื่องจากภาครัฐฯยังไม่มีงานก่อสร้างโครงการใหม่ การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชนยังซบเซา ทำให้คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์จะอ่อนลงราว 3-4% ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้รับผลกระทบจากต้นทุนเพิ่มทำให้สเปรดอ่อนลง

"ปูนในประเทศยังไม่ค่อยดี ภาครัฐยังไม่มีโครงการใหม่ล่าสุดก็เพิ่งเลื่อนประมูลโครงการรถไฟทางคู่ คงจะเห็นงานก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลัง งานอสังหาฯของเอกชนก็ยังไม่ค่อยดี ส่วนการลงทุนธุรกิจปูนซีเมนต์ในต่างประเทศต้องมองยาว ๆ มีโรงปูนอยู่รอบอาเซียน มีความพร้อมมากที่สุด ดังนั้น ก็จะเติบโตไปพร้อมกับอาเซียนในอนาคต"นักวิเคราะห์ กล่าว

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินกำไรสุทธิของ SCC ในไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 2.3% จากงวดปีก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จะมาจากยอดขายที่คาดว่าจะโตถึง 15.1% จากการที่โรงงาน ROC กลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง หลังจากปิดซ่อมบำรุงไปในช่วงต้นเดือน พ.ย.59 ,โรงงานผลิตกระดาษ Vina Kraft ในเวียดนามเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์อีก 2.43 แสนตัน และอุปสงค์ปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น

ขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย ( BITDA margin) น่าจะลดลงเหลือ 19.2% ในไตรมาส 1/60 จาก 19.7% ในไตรมาส 4/59 เนื่องจากราคาแนฟทาที่ขยับขึ้น และรายได้อื่น ๆ ที่คาดจะลดลง 48.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ส่วนกำไรในไตรมาส 1/60 ที่คาดว่าจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จะมาจากการที่ SCC เริ่มบันทึกค่าเสื่อมราคาของโรงปูนในเมียนมา ซึ่งเพิ่งเปิดในเดือน ม.ค.60 และโรงปูนในลาวที่เพิ่งเปิดเมื่อเดือน มี.ค.60 จะฉุดให้ EBITDA margin ของธุรกิจปูนลดลงจาก 14.5% ในไตรมาส 1/59 เหลือ 12.1% ในไตรมาส 1/60 ขณะที่สเปรดของทั้ง HDPE-แนฟทา และ PP-แนฟทา จะยังคงแข็งแกร่งในไตรมาส 1/60

การที่อุปทานใหม่ของโรงงานผลิตโอเลฟินส์ ถูกเลื่อนออกไป น่าจะทำให้สเปรดของ PP-แนฟทา ยังอยู่ในระดับสูงต่อไปในปี 60 ขณะเดียวกันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คาดจะช่วยหนุนอุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์อาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ และทำให้ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สามารถปรับราคาโอเลฟินส์เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนแนฟทาที่สูงขึ้นในปัจจุบันได้ ดังนั้น จึงคาดว่า peak cycle ของธุรกิจเคมีภัณฑ์น่าจะดำเนินต่อไปอีก 4-5 ปี โดยแนวโน้มที่แข็งแกร่งของธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCC บวกกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ปูนซีเมนต์ และบรรจุภัณฑ์ในประเทศ จะช่วยหนุนโมเมนตัมการเติบโตของกำไร SCC ในปีนี้

ด้านบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่าผลประกอบการไตรมาส 1/60 และไตรมาสถัดไปของ SCC อาจยังไม่น่าสนใจนัก เนื่องจากกำไรที่เติบโตสูงของธุรกิจปิโตรเคมีจะถูกหักล้างด้วยผลประกอบการที่แย่ลงของธุรกิจซีเมนต์ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้น่าจะถูกรับรู้ในตลาดแล้ว ผลกระทบต่อราคาหุ้นน่าจะค่อนข้างจำกัด ทั้งนี้ ปัจจุบัน SCC ซื้อขายที่ PER 11.4 เท่าปี 60 (ค่าเฉลี่ยระยะยาวอยู่ที่ 12.7 เท่า) และให้อัตราเงินปันผลสูงที่ 3.6% จึงยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่าจุดแข็งของ SCC คือ ความครบวงจรของธุรกิจทั้งปูนซีเมนต์ และปิโตรเคมี และมีนโยบายเชิงรุกเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้เข้าซื้อธุรกิจปูนซีเมนต์ในเวียดนาม กำลังการผลิต 3.1 ล้านตัน/ปี ส่งผลให้การผลิตปูนซีเมนต์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านตัน/ปี แบ่งเป็นในประเทศ 23 ล้านตัน/ปี และนอกประเทศ 10 ล้านตัน/ปี

นอกจากนี้ SCC ยังมี Valuation น่าสนใจ ระดับ PER2560 ที่ 12.6 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสม่ำเสมอปีละ 3.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ