ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) ที่ระดับ “A" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่" ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ตลอดจนแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จักในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากระดับการก่อหนี้ของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งจากหนี้ภาคครัวเรือนทั่วประเทศที่อยู่ในระดับสูง และลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ 20%-25% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นในกรณีที่ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอในสัดส่วนที่สูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ในทางกลับกัน ความสามารถในการทำกำไรหรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่ด้อยลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงในอนาคต
SPALI เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนมีนาคม 2560 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 29% ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2559 มูลค่ายอดขายคงเหลือของโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทมีจำนวน 53,415 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 44% และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 56% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้
บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2556 โดยบริษัทได้ซื้ออาคารสำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์มูลค่าประมาณ 900 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2556 และยังได้ลงทุนในกิจการร่วมค้าอีก 5 แห่งกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศออสเตรเลียมูลค่าประมาณ 800 ล้านบาทในช่วงปี 2557 จนถึงปี 2559 ซึ่งกิจการร่วมค้าทั้ง 5 แห่งดังกล่าวดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนในต่างประเทศยังถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่รายได้ค่าเช่าและส่วนแบ่งกำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนในต่างประเทศก็ยังเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
ยอดขายของบริษัทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 24,132 ล้านบาท ยอดขายโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น 20.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 12,833 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 12.1% เป็น 11,299 ล้านบาท โดยการลดลงของยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมมีสาเหตุมาจากการเลื่อนการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ของบริษัทซึ่งแต่เดิมถูกกำหนดไว้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2559
รายได้ของบริษัทในปี 2559 เพิ่มขึ้น 9.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 23,336 ล้านบาท รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมของบริษัทโดยเพิ่มขึ้น 59.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 13,105 ล้านบาท ในทางกลับกัน รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมลดลง 23.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 9,798 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในปี 2559 จนถึงปี 2563 ส่วนหนึ่งมียอดเงินจากสินค้ารอส่งมอบที่รอรับรู้รายได้สำรองไว้แล้วประมาณ 36,500 ล้านบาท โดยบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ในปี 2560 จำนวน 13,650 ล้านบาท ส่วนในปี 2561 มีประมาณ 10,301 ล้านบาท และระหว่างปี 2562 ถึงปี 2563 มีอีกประมาณ 12,544 ล้านบาท บริษัทน่าจะยังคงอยู่ในช่วงขยายตัวด้านรายได้ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้าจากแรงหนุนของยอดโอนจากโครงการคอนโดมิเนียมที่บริษัทเปิดขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 29,000 ล้านบาทในปี 2562
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทแข็งแกร่งแม้จะลดต่ำลง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 27%-28% ในช่วงปี 2558 จนถึงปี 2559 จากระดับที่สูงกว่า 30% ในอดีต ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงทรงตัวอยู่เหนือระดับ 27% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการขยายธุรกิจ โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 47.3% ณ เดือนธันวาคม 2559 เพิ่มขึ้นจาก 30%-41% ในช่วงปี 2554-2557 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนการก่อหนี้ดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทลดลงหลังการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น
อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 50% ในปี 2554 และ 53% ในปี 2555 ก่อนที่จะลดลงหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยอัตราส่วนดังกล่าวขึ้นและลงอยู่ในช่วง 23%-39% ในช่วงปี 2556 จนถึงปี 2559 ทั้งนี้ แม้อัตราส่วนดังกล่าวจะลดต่ำลง แต่ก็ยังคงถือว่าสูงสำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ปีละ 5,000-6,000 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทจะมีเงินกู้ที่ครบกำหนดในแต่ละปีที่ 5,000-7,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทอาจมีเงินทุนจากการดำเนินงานขาดอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่มากเพียงพอโดยได้รับแรงหนุนจากวงเงินกู้สำหรับพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559