นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในไตรมาสแรกปี 60 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าคงค้างรวม 11.24 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.4% จาก 10.86 ล้านล้านบาทเมื่อปลายปี 59
ทั้งนี้ มูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวเพิ่มขึ้นถึง 41% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้น 52,939 ล้านบาท และมีจำนวนผู้ออกรวม 69 บริษัท เพิ่มขึ้น 7 บริษัท โดยกลุ่มธุรกิจที่มียอดการออกสูงสุดได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (Commerce) ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า
ส่วนมูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะสั้นในภาพรวมลดลง 25% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ออกส่วนหนึ่งหันไปออกตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น
ด้านเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ในไตรมาส 1/60 มีกระแสเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้สุทธิ 69,037 ล้านบาท โดย 83.4% เป็นการเข้าซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว และ 16.5% เป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น ทำให้มูลค่าเงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นไตรมาส 1/60 เท่ากับ 696,104 ล้านบาท หรือเท่ากับ 6.2% ของมูลค่ารวมตลาดตราสารหนี้ไทย
สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในไตรมาส 1/60 ค่อนข้างนิ่ง เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีถึง 20 ปี ปรับตัวลดลงโดยเฉลี่ย 2-12 bps ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 20 ปีขึ้นไป ปรับขึ้นเฉลี่ย 4-5 bps
นายธาดา กล่าวอีกว่า ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นจะยังทรงตัวตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะคงที่ในระดับ 1.5% ไปอีกระยะหนึ่ง โดยมีโอกาสจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจขยับขึ้นชัดเจนในช่วงหลังของปี
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 10 ปี มีทิศทางเป็นช่วงขาขึ้น โดยอาจมีการแกว่งตัวที่ค่อนข้างกว้าง จากปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ ผลการเลือกตั้งในยุโรป และกระบวนการออกจากลุ่มสหภาพยุโรปของอังกฤษ
นายธาดา กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ปีนี้ คาดมูลค่าการออกตราสารหนี้โดยรวมจะไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท จากปีก่อนอยู่ราว 8 แสนล้านบาท เนื่องด้วยเป็นการเติบโตจากฐานที่สูงในปีก่อนที่มีการออกตราสารของ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) เพื่อรองรับการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่
ดังนั้น ภาพรวมการออกตราสารหนี้ในปีนี้จะมีปัจจัยหลักมาจากภาค Real Sector จะครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิม ประมาณ 4.7 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ราว 1-2 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมายังเห็นสัญญาณการออกตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนไทย จากการกำหนดลงในวาระการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งมีเกือบ 90 บริษัทแล้วที่มีแผนจะออกตราสารหนี้ในปีนี้
นอกจากนี้ มองว่ามูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไม่มีเรตติ้ง (Non rated) ในปีนี้น่าจะมีแนวโน้มลดลง จากไตรมาส 1/60 มูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะสั้นลดลง 25% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่หันมาออกตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น จากคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นในอนาคต รวมถึงจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) ที่ส่งผลต่อความเชื่อถือของบริษัท จึงส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนไทยขอให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรตติ้ง) กันมากขึ้น
นายธาดา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้มากกว่า 3.3% จากการส่งออกปรับตัวดีขึ้น สินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนปรับตัวดีขึ้น รวมถึงหนี้ครัวเรือนปรับตัวลดลง แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อไทยได้ในอนาคต เช่น นโยบายการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนแบบไม่เป็นธรรม เป็นต้น