นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เปิดเผยว่า หลังจากปิดการหีบอ้อยของปีการผลิต 2559/60 แล้ว พบว่าโรงงานน้ำตาลในกลุ่ม KTIS ทั้ง 3 โรง สามารถหีบอ้อยได้รวมประมาณ 8.7 ล้านตัน สามารถผลิตเป็นน้ำตาลทรายได้ประมาณ 9.4 ล้านกระสอบ เมื่อเปรียบเทียบกับฤดูการผลิตปี 2558/59 ปรากฎว่าปริมาณอ้อยมากกว่าปีก่อน 1.2 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 16% และสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากกว่าปีก่อน 2.2 ล้านกระสอบ หรือเพิ่มขึ้นถึง 30%
ทั้งนี้ ปริมาณอ้อยของกลุ่ม KTIS ที่เติบโตขึ้นอย่างมากนี้ สวนทางกับภาพรวมของอุตสาหกรรมที่มีปริมาณอ้อยลดลง โดยปีการผลิต 2559/60 มีอ้อยทั้งประเทศ 92.8 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีปริมาณอ้อยรวม 94.0 ล้านตัน
“ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของเราในฤดูหีบนี้น่าพอใจมาก จากปีก่อนซึ่งประสบปัญหาภัยแล้ง เราได้อ้อยประมาณ 7.5 ล้านตัน โดยตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะทำให้ได้ 8.2 - 8.5 ล้านตัน ซึ่งก็สามารถทำได้ทะลุเป้า และที่น่าดีใจไปกว่านั้นก็คือ ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยที่สูงถึงประมาณ 108 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ทำให้ได้ผลผลิตน้ำตาลถึง 9.4 ล้านกระสอบ อันแสดงถึงคุณภาพอ้อยของเราที่ดีขึ้นมาก" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าว
นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวว่า จากปริมาณน้ำตาลที่ผลิตได้ในปี 60 จะทำให้ผลประกอบการของสายธุรกิจน้ำตาลทรายดีขึ้นอย่างมาก ทั้งจากปริมาณที่เพิ่มขึ้น และราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่สูงขึ้นมากด้วย นอกจากนี้ จะส่งผลดีไปถึงสายธุรกิจอื่นๆ ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล โรงงานผลิตเยื่อกระดาษชานอ้อย บรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย 100% และโรงงานผลิตเอทานอล ก็จะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 60 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ส่วนสายธุรกิจโรงไฟฟ้าของกลุ่ม KTIS ขณะนี้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลทั้ง 3 โรง มีการรับรู้รายได้ครบถ้วนแล้ว ทั้งโรงไฟฟ้าเกษตรไทยไบโอเพาเวอร์ (KTBP) ไทยเอกลักษณ์เพาเวอร์ (TEP) ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และรวมผลไบโอเพาเวอร์ (RPBP) ที่ จ.นครสวรรค์ โดยไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 โรงนี้ ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการผลิต และอีกส่วนหนึ่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย