นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพร้อมการเปิดตัวโครงการอีก 4 โครงการใหญ่ในไตรมาส 2/60 รวมมูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท โดยจะเปิดวีไอพีพรีเซลพร้อมกัน 17 มิ.ย.นี้
ได้แก่ 1. ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน-อินเตอร์เชนจ์ (Knightsbridge Phaholyothin-Interchange) มูลค่า 2,100 ล้านบาท 2.นอตติ้ง ฮิลล์ สกายสแครปเปอร์ @ เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ (Notting Hill Skyscraper@Central Rattanathibet) มูลค่า 2,500 ล้านบาท 3.นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105 (Notting Hill Sukhumvit 105) เฟส 2 มูลค่า 1,300 ล้านบาท และ 4.เคนซิงตัน สุขุมวิท- เทพารักษ์ (Kensington Sukhumvit-Theparak) มูลค่า 2,500 ล้านบาท
ปัจจุบัน ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 35 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 30,000 ล้านบาท มีธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
และมีธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
นายพีระพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ในช่วงที่บริษัทกำลังจะครบรอบ 8 ปีและก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 จึงได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการจัดทำแบรนดิ้งแคมเปญภายใต้แนวคิด “My Life. My Origin" หรือ “ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ" เพื่อให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน สะท้อนตัวตนของแบรนด์โดดเด่นยิ่งขึ้น
“เราค้นพบว่า สาเหตุที่ยอดขายตลอด 8 ปีที่ผ่านมาของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราสามารถเข้าถึงตลาดผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในแต่ละทำเล ยอดขายหลายๆ โครงการของเราเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในทำเลนั้นกว่า 70% สะท้อนว่าความสุขของลูกค้าของเรา คือการได้มีที่อยู่อาศัยในทำเลที่เขาคุ้นเคย ติดรถไฟฟ้า และนี่จึงเป็นที่มาของแบรนดิ้งแคมเปญ My Life. My Origin เราอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตในฝันแบบที่เป็นคุณ" นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงษ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียมกลายเป็นบ้านหลังแรกของคนรุ่นใหม่ที่เกิดจากครอบครัวขยายหรือต้องการอยู่ในแนวรถไฟฟ้าใกล้แหล่งงาน จากเดิมเคยอาศัยอยู่บ้านแนวราบ แต่เมื่อครอบครัวก็ขยายไปอยู่ในคอนโดมิเนียมทำเลใกล้เคียงกันเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ในย่านที่คุ้นเคย ซึ่งประเทศไทยจะเหมือนประเทศญี่ปุ่นที่ผู้คนไม่ได้คาดหวังว่าต้องดิ้นรนเข้าไปอยู่ในเมือง อาศัยรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน การเป็นแบรนด์ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในฝันในแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องตามใคร จึงน่าจะเป็นแบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตมากที่สุด
“ค่าครองชีพในเมืองจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาคอนโดมิเนียมในเมืองที่ราคา 3-5 ล้านจะไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ แถมอีกหน่อยคอนโดมิเนียมในเมืองอาจจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมแบบลีสโฮลด์ ที่ผู้ซื้อไม่ได้มีสิทธิ์ขาดตลอดไป ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความฝันของคนทั่วไป เพราะคนทั่วไปยังต้องการมีคอนโดมิเนียมที่ตัวเองมีสิทธิ์ขาด ราคาเข้าถึงได้ มีการตกแต่ง มีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เป็นรากดั้งเดิมของเขา ออริจิ้น ซึ่งมีความหมายถึงรากหรือต้นกำเนิด ไม่ซ้ำใคร ไม่ตามใคร จึงต้องการแสดงจุดยืนในฐานะผู้เข้าใจผู้บริโภคที่สุดผ่านแคมเปญ My Life. My Origin นี้" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงมุ่งหน้าพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะตลาดพรีเมียมแมส อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทต้องการเป็นแชมป์การพัฒนาคอนโดมิเนียมเจาะผู้ต้องการห้องระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า เพื่อให้ภาพลักษณ์ของบริษัทและคอนโดมิเนียมแต่ละแบรนด์ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ให้นายณเดชน์ คูกิมิยะ พระเอกระดับแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งมีบุคลิกที่สอดคล้องกับแบรนด์คอนโดมิเนียมทั้ง 3 แบรนด์ของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในแคมเปญ My Life. My Origin ด้วย
สำหรับแผนงานในปี 60 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 6,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 3,199.04 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอนอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปี (60-62) จากปีนี้ที่คาดว่าจะรับรู้รายได้จำนวน 6,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 30% จากปีก่อนที่มียอดขาย 1.08 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ไม่น้อยกว่า 8 โครงการ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท เน้นทำเลติดรถไฟฟ้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/60 บริษัทจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท คาดว่าจะมียอดขายราว 4,500 ล้านบาท น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 1/60 ที่คาดว่ายอดขายจะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ หรือเติบโตมาที่ 1,400-1,500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายที่ 1,200 ล้านบาท
ขณะที่วางงบลงทุนซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในอนาคต ซึ่งยังคงให้ความสนใจที่ดินในทำเลใจกลางเมืองที่ติดกับรถไฟฟ้า และเน้นในทำเลรถไฟฟ้าสายเดิม
"ปีนี้เราวางแผนจะเปิดไม่น้อยกว่า 8 โครงการ ซึ่งยังคงโฟกัสทำเลติดรถไฟฟ้า หรือสามารถเดินทางจากโครงการไปยังรถไฟฟ้าในระยะทางประมาณ 200 เมตร และเน้นบริการหลังการขาย โดยเราก็มีการจับมือกับบัตร Rabbit ในการออกบัตรใบเดียวที่ใช้ได้กับโครงการและรถไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และเพิ่มความน่าสนใจในการขาย"นายพีระพงศ์ กล่าว