นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริหาร บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทฯ อาจจะมีการพิจารณาการขายอพาร์ทเม้นท์ในประเทศสหรัฐอเมริกาออกไปอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอพาร์ทเม้นท์ในสหรัฐฯที่ได้ซื้อมาและมีการรีโนเวทแล้วอยู่ทั้งหมด 4 แห่ง ซึ่งปัจจุบันอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าในสหรัฐฯถือว่ามีอัตราค่าเช่าที่เพิ่มค่อนข้างสูงในแต่ละปี ทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาที่มีความคุ้มค่าต่อการลงทุน
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการอพาร์ทเม้นท์ในสหรัฐฯ ทำให้บริษัททำกำไรจากขายที่ค่อนข้างคุ้มค่า ดังนั้น บริษัทจะพิจารณาขายอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าอีก 1 แห่งออกไปในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีกำไรจากการขายอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวกว่า 1 พันล้านบาท และบริษัทยังมองหาอพาร์ทเม้นท์ในสหรัฐฯแห่งใหม่เพิ่มเติมอีก 1 แห่ง หากได้ราคาเสนอขายที่ดีเพื่อซื้อเข้ามาปรับปรุงและขายต่อหากมีผู้สนใจ
สำหรับการลงทุนในสหรัฐฯที่เป็นประเทศที่บริษัทได้ตัดสินใจเข้าลงทุนและได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมาอย่างคุ่มค่า แต่การลงทุนในสหรัฐฯของบริษัทในระยะต่อไปอาจจะทยอยลดลง เพราะปัจจุบันบริษัทการใช้เงินลงทุนของการซื้ออพาร์ทเม้นท์ในสหรัฐฯมารีโนเวทและพัฒนาต่อใช้ไปค่อนข้างมากแล้ว หรือคิดเป็น 15% ของมูลค่าสินทรัพย์ในปัจจุบัน จากนโยบายของบริษัทที่ตั้งการลงทุนในสหรัฐฯไว้ที่ 20% ของมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งในระยะต่อไปการขยายการลงทุนในต่างประเทศมีโอกาสขยายออกไปยังประเทศอื่นๆและเน้นไปที่อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income)
ปัจจุบัน บริษัทมีความสนใจและได้ศึกษาการลงทุนเพื่อซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษและญี่ปุ่น เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง หรือคาดว่าจะมีกำไรมากกว่า 50% โดยการลงทุนในต่างประเทศบริษัทจะเน้นประเทศที่มีข้อกฏหมายชัดเจน เพื่อทำให้ไม่มีความเสี่ยงในด้านกฏหมาย รวมถึงให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นในทุกๆปี และมีการเติบโตของตลาดในทุกๆปีเช่นกัน ซึ่งทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ในเกณฑ์การลงทุนที่บริษัทตั้งไว้
"การขยายการลงทุนของทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นนั้นยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนได้ แต่เราก็สนใจและศึกษาหากจะขยายออกไปนอกเหนือจากอเมริกาที่มีอพาร์ทเม้นอยู่ 4 ตึก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเฉพาะในอังกฤษที่เราคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะลดลงมากหลัง BREXIT แต่จากที่ดูราคาตอนนี้ยังลดลงไม่มาก ซึ่งราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงไปมากส่วนใหญ่จะอยู่ไนยุโรป อย่างเช่น สเปนที่เราได้บินไปดูมา แต่ว่าตลาดในสเปนก็ยังไม่ค่อยดี ซึ่งถ้ามีโอกาสและราคาขายที่ดีเข้ามาเราก็จะพิจารณา แต่ก็ต้องไช้เวลาพอสมควร เพราะเราต้องมั่นใจว่าการลงทุนนั้นจะสร้างผลตอบแทนกลับมาได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ"นายอนันต์ กล่าว
พร้อมกันนั้น บริษัทจะพิจารณาการลงทุนโครงการศูนย์การค้าและโรงแรมในกรุงเทพฯเพิ่มเติมอีก 1 แห่งในปีนี้ ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว 1 แปลง จากที่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ Terminal 21 พัทยา บนที่ดิน 30 ไร่ ซึ่งจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในปี 61
อีกทั้งบริษัทวางแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อย่างน้อย 1 โครงการต่อปี เพื่อขยายขนาดกอง REIT ให้ใหญ่ขึ้นและนำเงินมาลงทุนในโครงการอื่นๆต่อไป โดยปัจจุบันบริษัทมีกอง REIT จำนวน 2 กอง คือ LHSC และ LHHOTEL
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ LH กล่าวว่า ในไตรมาส 2/60 บริษัทเตรีมเปิดโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.2 พันล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 1 โครงการ คือ โครงการThe Bangkok สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 1.62 พันล้านบาท บ้านเดี่ยว 2 โครงการ คือ โครงการ สีวลี อยุธยา มูลค่าโครงการ 315 ล้านบาท และโครงการ มัณฑนา ศรีนครินทร์ ร่มเกล้า มูลค่าโครงการ 2.28 พันล้านบาท และ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ คือ โครงการ Indy ศรีนครินทร์ ร่มเกล้า มูลค่าโครงการ 990 ล้านบาท
ในปีนี้บริษัทการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 2/60 เป็นไตรมาสแรก เพื่อช่วยผลักดันให้ยอดขายให้สูงขึ้น หลังจากไตรมาส 1/60 ไม่มีการเปิดโครงการใหม่ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในปีนี้ที่วางไว้ โดยแผนงานทั้งปีนี้จะเปิดตัวรวมทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.49 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และบ้านเดี่ยว 7 โครงการ และมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ 2.6 หมื่นล้านบาท
นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทยังคงเน้นขายโครงการที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาขายเฉลี่ย 7.3 ล้านบาท/ยูนิต ซึ่งเป็นระดับราคาขายเฉลี่ยในปีก่อน เพราะบริษัทมีจุดแข็งในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพระดับสูง และเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในตลาด อีกทั้งบริษัทมองว่าลูกค้าในตลาดนะดับบนยังมีความสามารถในการซื้อค่อนข้างสูง และพึ่งพาการใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงินไม่มากนัก ทำให้ความกังวลในแง่ของการอนุมัติสินเชื่อมีไม่มากเมื่อเทียบกับลูกค้าระดับกลาง-ล่าง เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทำให้สถาบันการเงินต่างต้องระมัดระวังในการให้สินเชื่อและมีความเข้มงวด