นายจิรวัฒน์ นุริตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) คาดว่าแนวโน้มกำไรในปี 60 จะสูงกว่าระดับ 937 ล้านบาทในปีก่อน แม้ในส่วนรายได้ที่คาดว่าช่วงปี 60-61 จะยังทรงตัวจากระดับ 1.73 หมื่นล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะเน้นการลดต้นทุนต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และผลิตผลิตภัณฑ์พิเศษบางประเภท ที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิม จะช่วยให้รักษาการเติบโตของกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการลงทุนยังไม่สามารถสร้างรายได้ให้บริษัท
สำหรับรายได้ในช่วง 2 ปีที่น่าจะยังอยู่ระดับทรงตัวนั้น เนื่องจากยังไม่มีโครงการใหม่และกำลังการผลิตใหม่เข้ามาสร้างรายได้เพิ่มเติม แต่แนวโน้มรายได้จะกลับมาเติบโตอีกครั้งตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นใหม่ หลังจากที่โรงงานเมทิลเอสเทอร์แห่งที่ 2 ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีกำลังผลิตไบโอดีเซล 200,000 ตัน/ปีแล้วเสร็จ และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/61 ก็จะมีรายได้เข้ามาเต็มปีตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป
ส่วนในช่วงปี 63 จะมีรายได้เข้ามาเสริมหลังจากโครงการไบโอคอมเพล็กซ์จากอ้อย ในจังหวัดนครสวรรค์ แล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินการในปี 63 ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือกับบมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ซูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) ในสัดส่วนการลงทุน 50:50 มูลค่าลงทุนรวม 8.5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการเสนอราคาก่อสร้างจากผู้รับเหมา และได้ยื่นขอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปแล้ว ก่อนจะสรุปรายละเอียดทั้งหมดเสนอคณะกรรมการบริษัทในปลายปีนี้ ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างในปี 61
โดยโครงการไบโอคอมเพล็กซ์จากอ้อย ในจังหวัดนครสวรรค์ ประกอบก้วย โรงไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ โรงหีบอ้อย 2 หมื่นตัน/วัน และโรงเอทานอล 6 แสนลิตร/วัน ซึ่งผู้จัดหาวัตถุดิบเพื่อรองรับการลงทุนจะเป็นของ KTIS นอกจากนี้ในระยะต่อไปบริษัทมองว่าหากปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพหรือไบโอพลาสติกต่อไปในอนาคตด้วย แต่ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันและความต้องการใช้ไบโอพลาสติก โดยมองว่าราคาน้ำมันที่ระดับมากกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้ไบโอพลาสติกให้สูงขึ้น ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่จะต้องช่วยสนับสนุนให้คนรู้จักและใช้ไบโอพลาสติกมากขึ้นด้วยเช่นกัน
สำหรับวันนี้ (2 พ.ค. 60) บริษัทมีความพอใจราคาเปิดของหุ้น GGC ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันแรกที่ราคาเหนือราคาที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ 11.20 บาท/หุ้น ราว 11.50% โดยมองว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินงานของบริษัทที่จะมีโครงการต่าง ๆ ที่สร้างโอกาสในการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างยั่งยืนได้ ซึ่งจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป แต่ในช่วงที่บริษัทยังไม่มีโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติมรายได้ ก็จะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และการผลิตผลิตภัณฑ์พิเสษที่สร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีอยู่