หุ้น GGC ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 12.40 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท (+10.71%) จากราคาขาย IPO ที่ 11.20 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 2,090.39 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 12.50 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 12.60 บาท และราคาทำระดับต่ำสุด 12.00 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) นับเป็น Flagship ในธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมของบมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ธุรกิจเมทิลเอสเตอร์ (ME) มีการเติบโตไปตามการใช้น้ำมันไบโอดีเซลของประเทศ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐบาล และมีโอกาสเติบโตในระยะยาวจากการเข้าสู่เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)
สำหรับโครงสร้างรายได้ ของ GGC มีรายได้มาจากการขายผลิตภัณฑ์ ME สัดส่วน 50.3% ในปี 2557 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 56.7% ในปี 2558 และ 59.6% ในปี 2559 ขณะที่ธุรกิจแฟตตี้แอลกอฮอล์ (FA) มีสัดส่วนรายได้ 39.9%, 34.9% และ 32.8% ในช่วงดังกล่าวตามลำดับ
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรม ME ในประเทศไทยถูกผลักดันจากภาครัฐในการกำหนดอัตราการผสม ME ในน้ำมันดีเซล ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับระดับอัตราการผสม เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีน้ำมันปาล์มดิบเพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นอาหารในประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการใช้ ME ของไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.1 ล้านลิตร/วันในปี 2551 เป็น 3.4 ล้านลิตร/วันในปี 2559 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 15.3% ทั้งนี้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) คาดความต้องการใช้ ME ในประเทศจะเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเฉลี่ย 4.1% ในช่วงปี 2559-2569
ทั้งนี้ ประเมิน valuation ที่เป็นไปได้ บนสมมติฐานการเติบโตของรายได้ 4.1% อ้างอิงจากคาดการณ์ของพพ. และอัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่อยู่ในช่วง 8-9% ประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) เท่ากับ 0.87-1.05 บาท/หุ้น กลุ่มปิโตรเคมีในประเทศปัจจุบันซื้อขายในช่วง PER 10-16 เท่า ประเมิน Valuation ที่เป็นไปได้ของ GGC โดยกรอบการซื้อขายที่เหมาะสมในมุมมองเราอยู่ในช่วง 11.50-13.50 บาท
สำหรับฐานะทางการเงินก่อนเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) วัดจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Debt to Equity) ณ.สิ้นปี 2559 เท่ากับ 0.3 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับเข้มแข็ง และจะยิ่งแกร่งขึ้น หลัง IPO ที่จะมีสถานะเป็น Net cash ช่วยเพิ่มความสามารถในการก่อหนี้สำหรับลงทุนในอนาคตเพิ่มเติม