นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บมจ. อาม่า มารีน (AMA) ให้สัมภาษณ์กับ "อินโฟเควสท์" ว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ต่อจากนี้บริษัทฯมีแผนที่จะให้บริการได้ครบทั้งภูมิภาคเอเชีย จากปัจจุบันบริษัทฯมีการให้บริการไปแล้วในประเทศที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก โดยบริษัทฯจะเน้นการให้บริการขนส่งสินค้าที่เป็นของเหลวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มของน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ โดยปัจจุบันบริษัทฯให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชต่างๆ
ในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกองเรือทั้งหมด 8 ลำ ขนาดรวม 57,000 เดทเวทตัน แบ่งเป็น 5 ลำ ขนาด 21,000 เดทเวทตัน ที่ขนส่งในเส้นทางประเทศเมียนมา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งในกลุ่มนี้มีการเติบโตของการนำเข้าน้ำมันปาล์มค่อนข้างมาก และเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา จึงส่งผลให้อัตราการใช้เรืออยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
ส่วนเรืออีก 3 ลำ ขนาดรวม 36,000 เดทเวทตัน ที่ขนส่งสินค้าอยู่ในเส้นทางจีน อินเดีย เกาหลีใต้ บังคลาเทศ และศรีลังกา มีอัตราการใช้เรืออยู่ที่ 100% และในเดือน พ.ค.นี้บริษัทฯเตรียมที่จะรับเรือขนาด 13,000 เดทเวทตัน อีก 1 ลำ ซึ่งบริษัทได้มีการพูดคุยเรื่องสัญญาในการให้บริการไว้เบื้องต้นแล้ว ซึ่งหากได้รับเรือและจดทะเบียนเรียบร้อยสามารถให้บริการขนส่งได้ทันที
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาปริมาณนำเข้าของน้ำมันปาล์มในจีน และอินเดียไม่ได้เพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ 10% เพราะว่าผลผลิตปาล์มในอินเดียมีการเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างดีทำให้ความต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์มลดลง ขณะที่จีนเองมีการคุมเข้มการโอนเข้าและออกของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ปริมาณงานอาจจะดูลดไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 2/60 จะกลับมาสู่ภาวะปกติ เพราะขณะนี้ปริมาณนำเข้าน้ำมันปาล์มของ 2 ประเทศนี้ก็ยังไม่ได้ลดลง และด้วยลูกค้าที่ใช้บริการขนส่งของบริษัทฯที่มีความเข้มแข็งในสินค้าที่จำหน่ายด้วย
"ภาพรวมของความต้องการน้ำมันปาล์มในภูมิภาคนี้ยังคงทรงตัวอยู่ และไม่ได้เพิ่มขึ้น 10% เหมือนที่บริษัทฯคาดไว้ก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯมีขนาดไม่ใหญ่มากนักจึงไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้ ในช่วงที่ผ่านมาหากดูอัตราการใช้เรือของเรายังอยู่ในระดับสูงกว่า 97% โดยเฉพาะในเรือขนาดใหญ่กว่า 10,000 เดทเวทตัน มีอัตราการใช้สูงถึง 100% ขณะที่เรือใหม่เองบริษัทฯก็ได้มีข้อตกลงกับลูกค้าไว้เบื้องต้นแล้ว จึงเชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับอัตราการใช้เรือแต่อย่างได"นายพิศาล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัท Inter-Continental Oil & Fats Pte.Ltd. (ICOF) ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่อันดับ 2 ที่เป็นผู้ค้าน้ำมันปาล์ม เพื่อที่จะเป็นผู้ให้บริการขนส่ง โดยคาดว่าในเดือน พ.ค.จะได้ข้อสรุป โดยหากบริษัทฯได้รับความไว้วางใจจากบริษัทดังกล่าวมาใช้บริการขนส่งน้ำมันปาล์ม บริษัทฯจะต้องมีการพิจารณาซื้อเรือใหม่เพิ่มอีก 1 ลำ
"ตอนนี้เราก็ได้ทำตามแผนที่เคยบอกไว้เกี่ยวกับการขยายกองเรือไปแล้ว แต่หากเราได้ลูกค้ารายใหม่นี้เข้ามาเราก็จะพิจารณาซื้อเรือลำใหม่เพื่อที่จะมารองรับลูกค้ารายนี้ ซึ่งก็ต้องรอลุ้นในเดือน พ.ค. ว่าจะเป็นอย่างไร"นายพิศาล กล่าว
นายพิศาล กล่าวถึง บริษัท เอ เอ็ม เอ โลจิสติกส์ จำกัด (AMAL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าเหลวโดยใช้รถบรรทุกน้ำมัน โดยปัจจุบันให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และ ไบโอดีเซล B100 โดยปัจจุบันบริษัทฯมีกองรถบรรทุกน้ำ 110 คัน ณ สิ้นเดือน มี.ค.60 และภายในปีนี้บริษัทฯจะมีการกองรถทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 180 คัน ซึ่งเป็นไปตามสัญญาของบริษัทฯที่มีกับ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ทั้งหมด 3 ฉบับ ในระยะเวลา 5 ปี
ทั้งนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างหาลูกค้ารายใหม่ในทุกๆพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก เพื่อที่จะรับขนส่งสินค้าในช่วงขากลับ เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัทฯ โดยปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจากับผู้จำหน่ายไบโอดีเซล B100 ในภาคใต้จำนวน 1 ราย โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส 3/60 นี้
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการเจรจากับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างเพิ่มเติม โดยลูกค้ารายดังกล่าวมีกองรถของตัวเองอยู่ 200 คัน ซึ่งมีความต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ให้มีความสะอาดและทันสมัย รวมถึงต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการขนส่งมาดูการขนส่งทยอยเข้ามาเสริม โดยเบื้องต้นบริษัทฯได้ยื่นเสนอราคาเข้าไปแล้ว เชื่อว่าในอีกไม่ช้าจะเห็นความชัดเจนว่าจะได้งานดังกล่าวหรือไม่
"ตอนนี้ลูกค้าหลักของการขนส่งทางรถก็ยังเป็น PTG อยู่ ซึ่งการที่กองรถที่ขนส่งน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆปีทำให้ในช่วงขากลับทางบริษัทฯต้องวิ่งรถเปล่าเพื่อที่จะกลับมาขนส่งน้ำมัน ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรในส่วนของการขนส่งทางรถลดลงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้มีการเจรจาเพื่อที่จะหาลูกค้ารายใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มช่วงขากลับของรถที่กลับเข้ามารับน้ำมันจากไทยออยล์ เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ซึ่งในอีกไม่นานคงจะเห็นความคืบหน้าดังกล่าว"นายพิศาล กล่าว
นายพิศาล กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการเก็บสถิติเกี่ยวกับการขนส่งน้ำมันทางรถ โดยในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเกิดอุบัตติเหตุเพียง 3.5 ครั้งต่อระยะทาง 1 ล้านกิโลเมตร และเป็นเพียงการเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น โดยสถิติดังกล่าวถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อที่จะเก็บสถิติให้สมบูรณ์ก่อนที่จะเดินหน้าเข้าประมูลการให้บริการกับผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ คือ บมจ.ปตท.(PTT) ,บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ,บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ,บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด และอื่นๆอีก
ในขณะเดียวกันด้วยกองรถที่มากขึ้น บริษัทฯจึงได้เริ่มทดลองการเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นของตัวเองใน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยสามารถลดต้นทุนเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงได้ถึง 50% ซึ่งหากบริษัทฯมีกองรถเกิน 150 คัน และมีอายุเฉลียเกิน 2 ปี บริษัทฯจะมีการพิจารณาเพื่อเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงเต็มรูปแบบเพิ่มเติม เพื่อที่จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงลง
ทั้งนี้ บริษัทฯยังอยู่ระหว่างมองหาการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ และเตรียมเข้าตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับบัญชีและการเงินต่างๆ ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ให้บริการด้านการขนส่งสินค้าเกี่ยวกับสารเคมี และวัสดุก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เหลืออยู่ราว 500-600 ล้านบาท นอกจากนี้ยังสามารถกู้จากสถาบันทางการเงินได้เพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.5 เท่า
"จากนี้เราก็มองการขยายในหลายๆรูปแบบ ซึ่งตัวเลือกหนึ่งก็คือการเข้าซื้อกิจการซึ่งเรามองว่ารูปแบบนี้จะเป็นการขยายที่รวดเร็ว และการเข้าซื้อเรายังมีข้อแม้อีกด้วยว่าผู้บริหารเดิมต้องอยู่บริหารงานให้เราก่อนอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งบริษัทที่เราศึกษาอยู่นี้เบื้องต้นเราก็มองว่าเป็นบริษัทฯที่ดีให้ผลตอบแทนที่ดี แต่อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นบริษัทจำกัด เราก็จะต้องเข้าไปตรวจสอบสิ่งต่างๆให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ ซึ่งเราคงจะเห็นความชัดเจนในปีนี้"นายพิศาล กล่าว
นายพิศาล กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการปี 60 ว่า รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% จากปีก่อนที่มีรายได้ 973.81 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากขนาดของกองเรือที่เพิ่มขึ้น และขนาดกองรถที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแนวโน้มในช่วงไตรมาส 1/60 ผลประกอบการในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิจะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการจะไม่มากเท่าไหร่ เพราะมีวันหยุดค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดช่วงสงกรานต์ และในต่างประเทศก็จะมีหยุดในวันตรุษจีน แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะโตมากอยู่แล้ว ซึ่งปีนี้เราก็มั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้"นายพิศาล กล่าว