นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็ปเป้ (SAPPE) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 จะเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยความสำเร็จมาจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับตลาดในประเทศ และการเร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
สำหรับการขยายตลาดในประเทศปีนี้บริษัทได้เปิดตัวสินค้าใหม่ 7 รายการเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพและความงามตั้งแต่ช่วงต้นปี พร้อมทำแคมเปญส่งเสริมการขายและเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ เพื่อแข่งขันทำตลาดเครื่องดื่มในช่วงฤดูกาลขายสินค้าหน้าร้อน ซึ่งพบว่าลูกค้าให้การตอบรับสินค้าใหม่เป็นอย่างดี ส่งผลให้เครื่องดื่ม เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ และสูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม มียอดขายดีเกินคาด บริษัทฯ จึงเร่งผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
ส่วนตลาดต่างประเทศ SAPPE มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนในหลายๆประเทศ ทั้งนี้ อินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง หลังนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดควบคู่กับการดูแลด้านโลจิสติกส์ในร้านค้าปลีกเพื่อให้ ณ จุดขายมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ยังได้ขยายช่องทางการขายใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกในเขตชุมชนท้องถิ่น รวมถึงโรงเรียน และมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้นำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่ม โดยเปิดตัว โมกุ โมกุ รสเมล่อน ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นรายแรกของอินโดนีเซียที่นำเสนอเครื่องดื่มรสชาตินี้ออกสู่ตลาด
ขณะที่การขยายตลาดในประเทศจีน บริษัทฯ ได้วางจำหน่ายสินค้าภายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในเมืองเซียงไฮ้ได้แล้วกว่า 10,000 ร้านค้า โดยได้มีการจัดวางสินค้าเพื่อสร้างความโดดเด่นง่ายต่อการเลือกซื้อ พร้อมกันนี้ ยังมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้าอีก เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางการขายโดยผ่านร้านค้าปลีกรายย่อยและร้านซูเปอร์มาร์เก็ตตามหัวเมืองใหญ่มากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาสินค้าเครื่องดื่มใหม่เพื่อเจาะลูกค้าชาวจีน รวมถึงรุกทำตลาดผ่าน E-commerce ในประเทศจีนอีกด้วย
“เรามั่นใจว่าจากแผนดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกเติบโตตามแผนที่วางไว้ โดยในปีนี้ บริษัทฯมีเป้าหมายการเติบโตของยอดขายรวม 10% โดยตลาดในประเทศเติบโต 5% ในขณะที่ตลาดต่างประเทศเติบโต 15%"นางสาวปิยจิต กล่าว