บมจ.อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) (INGRS) คาดเคาะราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ได้ราวปลายเดือนก.ค. 60 จำนวนเสนอขายไม่เกิน 578,442,900 หุ้น ประกอบด้วย หุ้นเพิ่มทุน 261,562,500 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นของบริษัท คือ บริษัท อิงเกรส คอร์ปอเรชั่น เบอร์ฮาด (ICB) จำนวนไม่เกิน 316,880,400 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และคาดเสนอขายได้วันที่ 9 ส.ค.นี้
บริษัทคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 3/60 โดยมีบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ INGRS
นายอับดุล ราฮิม บินฮายี ฮิตัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร INGRS กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้แปรสภาพเป็นมหาชน และมีทุนจดทะเบียน 1,446,942,690 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เพื่อรองรับจากการขยายฐานการผลิต เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้คืนเงินกู้ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย
บริษัทฯ เป็นผู้นำของอาเซียนในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับการส่งออกไปทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และอินเดีย โดยบริษัทมีวิสัยทัศน์เป็นบริษัทอาเซียนที่มีเครือข่ายทั่วโลก จึงได้พัฒนาความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตระดับสากล สามารถแข่งขันได้ในทุกตลาดสำคัญในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง
INGRS มีจุดเด่น คือ มีโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ที่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงให้กับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอาทิ ฮอนดา มิตซูบิชิ ฟอร์ด มาสด้า เจนเนอรัล มอร์เตอร์ อีซูซุ ซูซุกิ นิสสัน โตโยตา ไดฮัทสุ เพอโรดัว และโปรตอน รวมถึงบริษัทรถยนต์ในอินเดียอาทิ มารูติ-ซูซุกิ เฟียต และ มหินดรา-มหินดรา โดยมีฐานการผลิต 10 แห่งใน 4 ประเทศ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และมั่นคง ทั้งในด้านคุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบสินค้า ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯมีความมั่นคงสูง
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ มี 3 กลุ่มคือ ผลิตภัณฑ์รีดขึ้นรูป (Roll Forming Products) ผลิตภัณฑ์ปั๊มขึ้นรูปและโมดุล (Stamping & Module Assembly Products) และเครื่องมือยึดจับและแม่พิมพ์ (Tool & Dies) และ ระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation Integration Solutions)
สำหรับงบงวดปี 60 สิ้นสุด 31 ม.ค.60 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,916 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิสำหรับปี(ก่อนหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) ที่ 210.40 ล้านบาทหลังจากหักค่าใช้จ่ายทางภาษีตามเกณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 32 ล้านบาท ซึ่งกำไรเติบโตขึ้น 19% จากกำไรสำหรับปี 177 ล้านบาทในปี 58
แม้รายได้รวมจะลดลงจาก 3,159 ล้านบาทตามสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว แต่กำไรสุทธิเติบโตขึ้นเนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิพุ่งขึ้นเป็น 7.2% โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจของอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้นและจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสู่ตลาด
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินรวมและภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฏหมาย