นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินทิศทางตลาดไทยวันนี้ (4 พ.ค.) ว่า ปัจจัยเด่นของตลาดต่างประเทศที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ที่คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.75-1.00% แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐในไตรมาส 1/60 ขยายตัว 0.7% นั้นเป็นเพียงชั่วคราว ทำให้จำนวนครั้งของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของปีนี้ยังคงอยู่ที่ 2 ครั้ง
การตอบรับของตลาดต่อเรื่องนี้ คือ โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ Fed Fund Rate Implies Probabilities ของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 14 มิ.ย.นั้นสูงขึ้นจาก 59.1% ไปเป็น 90.0% หลังทราบผลประชุม ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาว (30 ปี ) ส่วนหนึ่งอาจมาจากข่าวที่ รมว.คลังประกาศว่ากำลังพิจารณาออกพันธบัตรที่มีระยะยาวกว่า 30 ปี (ultra-long bonds)
ส่วนอีกปัจจัยคือการโต้วาที (debate) ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสสองท่าน คือ นาย Emmanuel Macron และ นาง Marine Le Pen นั้น ผลการสำรวจยังทำให้นาย Macron นั้นมีคะแนนที่เหนือกว่าคู่แข่ง (63/34) การ debate ครั้งนี้จึงไม่ได้เปลี่ยนการคาดการณ์ผลการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ซึ่งจากตัวแปรทั้งสองตัวผลออกมาตามที่ตลาดคาดการณ์ จึงไม่ได้เป็นบวกต่อตลาดมากนัก โดยเฉพาะโอกาสที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปที่สูงขึ้นอาจผลให้มีการปรับพอร์ตของนักลงทุนทั่วโลก
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ทรงๆตัว จากปัจจัยบวกและลบในเวลาเดียวกัน เพราะตัวเลข stock น้ำมันดิบของสหรัฐฯ (EIA) ลดลง แต่การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯและลิเบียเพิ่มขึ้น เป็นตัวกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ อีกทั้งยังมีการสูงขึ้นของค่าเงินดอลล่าร์อีกด้วย (Dollar Index เช้านี้สูงขึ้น 0.4% จากวันที่ 2 พ.ค.)
สำหรับปัจจัยในประเทศ ยังเป็นการเข้ามาเก็งงบไตรมาส 1 กันต่อ ขณะที่ตัวแปรด้านเศรษฐกิจกระทรวงการคลังเตรียมพิจารณาการให้เงินช่วยเหลือประชาชนที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย อาจกระตุ้นให้มีการเข้ามาเก็งผลบวกจากการใช้จ่ายของประชาชนที่สูงขึ้นได้ แต่คาดผลจะไม่มากนัก
ดังนั้น ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ตัวแปรสำคัญผ่านไปสองตัว แต่โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯที่สูงขึ้น จะทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าเข้าซื้อหุ้น การโยกย้ายเงินลงทุนของกองทุนฯ และนักลงทุนต่างประเทศ อาจยังเกิดขึ้นได้ ทำให้เราคาดการณ์ว่าดัชนีฯ จะยังคงแกว่งตัวแบบ sideway อยู่ต่อไป
"แนวโน้มดัชนีฯ ที่ยังไม่เปลี่ยนจากที่เคยคาด คือ sideway และมีความเสี่ยงต่อการขายหุ้นของนักลงทุน(ต่างประเทศ+กองทุนฯ) นักลงทุนอาจเลือกที่จะปรับลดพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงลง สำหรับนักเก็งกำไร ควรจับจังหวะเป็นรอบ เน้นเล่นสั้นแบบ“ลงซื้อ ขึ้นขาย"หุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ KCE , SPALI , BA, SC, PCSGH, HANA"นายมงคล กล่าว