โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) จากจุดเด่นที่ความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่อื่นๆ โดยอัตรากำไรที่แข็งแกร่งมาจากการผู้ป่วยโรคที่มีความซับซ้อน (intensity) มีเป็นจำนวนมาก ขณะที่ยังคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดี นอกจากนี้สถานะทางการเงินก็ยังแข็งแกร่งด้วยสถานะเงินสดสุทธิ และปีนี้ยังไม่มีแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
นอกจากนี้ BH ยังรุกทำตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง เพื่อชดเชยจำนวนผู้ป่วยจากสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ (UAE) ที่ลดลง รวมถึงกระจายฐานผู้ป่วยไปยังกลุ่ม CLMV เพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่าจำนวนผู้ป่วยในประเทศก็น่าจะเพิ่มขึ้นบ้างหลังจากทำความร่วมมือกับ 36 สถานพยาบาล ตลอดจนการปรับราคาการใช้บริการของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นราว 5% จะช่วยหนุนกำไรปีนี้ให้เติบโตด้วย โดยประเมินกำไรปี 60 อยู่ในช่วง 3,828-4,020 ล้านบาท เติบโตจากระดับ 3,626 ล้านบาทในปีที่แล้ว
ด้าน Valuation ของ BH ยังนับว่าถูกกว่ากลุ่มโรงพยาบาล ที่เทรด P/E 37 เท่า ขณะที่ BH เทรด P/E 33 เท่า
ราคาหุ้น BH พักเที่ยงอยู่ที่ 176.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.34%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อ 230 ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ซื้อ 210 เออีซี ซื้อ 200 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 210 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 212 บัวหลวง ซื้อ 212 ทิสโก้ ซื้อ 200
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ BH ในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นได้ดี จากจำนวนผู้ป่วยที่คาดว่าจะเติบโต 10% ซึ่งฟื้นตัวจากปีที่แล้วที่จำนวนผู้ป่วยทรงตัวโดยเติบโตเพียง 1-2% เท่านั้น อีกทั้งในปีนี้มีการปรับราคาใช้บริการสำหรับผู้ป่วยนอก (OPD) ขึ้นราว 5%
จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมาจากการทำความร่วมมือกับ 36 สถานพยาบาล ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยในประเทศเพิ่มขึ้นบ้าง ขณะเดียวกันยังรุกตลาดผู้ป่วยใหม่ในตะวันออกกลางที่สำรองจ่ายเอง เช่น โอมาน บาห์เรน คูเวต กาตาร์ และซาอุดิอาระเบีย เพื่อชดเชยผู้ป่วยจาก UAE ที่ลดลงเนื่องรัฐบาลลดการสนับสนุน ซึ่งเห็นได้ว่าจำนวนผู้ป่วยตะวันออกกลางยังขยายตัวได้ดี บ่งบอกถึงเสถียรภาพการดำเนินงานและศักยภาพของผู้ป่วยชาวตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งห้ามพลเมืองจาก 6 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าประเทศ อาจทำให้มีบางส่วนย้ายเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทยแทน ซึ่งทำให้โมเมนตัมเป็นบวกด้วย
ขณะเดียวกัน BH ยังมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติมในกลุ่ม CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็ถือว่าเติบโตได้ดี โดยเฉพาะจากเมียนมา แต่ลูกค้าหลักยังมาจากภูมิภาคตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าปีนี้ BH จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,020 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีที่แล้ว
ส่วน น.ส.มินทรา รัตยาภาส นักวิเคราะห์อาวุโส บล.โมนูระ พัฒนสิน กล่าวว่า BH มีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการทำกำไรเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่อื่น ๆ เพราะจับตลาดลูกค้าพรีเมียม แต่ในแง่ของการเติบโตของ BH ก็ไม่โดดเด่น โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี ซึ่งการที่อัตราเติบโตไม่มากทำให้มองในแง่ Valuation ของ BH ยังถูกกว่ากลุ่มโรงพยาบาล ที่กลุ่มฯเทรด P/E ระดับ 37 เท่า แต่ BH เทรด P/E ระดับ 33 เท่า
ปีนี้คาดว่ารายได้ของ BH จะโตไม่เกิน 5% จากจำนวนผู้ป่วยที่มาใช้บริการยังคงลดลง แต่คงจะลดลงน้อยกว่าปีที่แล้วที่มีผู้ป่วยจาก UAE ลดลงไปอันเป็นผลจากนโยบายของประเทศและเศรษฐกิจของตะวันออกกลางด้วย ขณะที่ BH ได้เข้าไปทำตลาดใหม่ ซึ่งแม้ว่าจำนวนผู้ใช้บริการจะยังชดเชยไม่ทันของตลาดหลักจากตะวันออกกลางก็ตาม แต่ก็ทำให้ดีขึ้นได้บ้าง
ส่วนด้านกำไรของ BH ในปีนี้คาดว่าจะเติบโต 6% มาที่ระดับ 3,828 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้น ตามการบริหารค่าใช้จ่ายที่ทำได้ดี
บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรไตรมาส 1/60 ของ BH ออกมาแข็งแกร่ง โดยทำกำไรสุทธิได้ 1,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี แม้รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลจะลดลง 4% จากงวดปีก่อน เหลือ 4,400 ล้านบาท แต่รายได้รวมยังเติบโต 2.8% จากไตรมาสก่อน ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ฉุดรายได้ในไตรมาสแรกมาจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง
การเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ของ BH ล่าสุดมีมุมมองว่าธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ และเชื่อว่า BH จะยังเพิ่มความสามารถในการให้บริการผู้ป่วยที่โรงพยาบาลที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันได้ โดยผู้บริหารของ BH ระบุถึงกลยุทธ์ธุรกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับแนวหน้าที่เน้นการรักษาโรคที่มี intensity สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บริการกับผู้ป่วยระดับตติยภูมิที่ส่งต่อมาจากสถานพยาบาลในภูมิภาค
ปัจจุบัน BH มีสำนักงานส่งต่อผู้ป่วยอิสระ 35 แห่งใน 20 ประเทศ ซึ่งใช้ภาษาต่าง ๆ กันถึง 14 ภาษา ซึ่งสำนักงานแต่ละแห่งจะต่อสายตรงถึงแพทย์ผู้ประสานงานของ BH ซึ่งสามารถพูดภาษาเหล่านั้นได้ ทำให้เชื่อว่าธุรกิจในส่วนนี้ของ BH จะได้แรงหนุนจาก platform ธุรกิจที่แข็งแกร่ง และเครือข่ายการส่งต่อผู้ป่วยจากทั้งโรงพยาบาลในประเทศ และรัฐบาลต่างประเทศ จากฐานผู้ป่วยต่างชาติในปัจจุบัน
BH เห็นศักยภาพของการเติบโตจากผู้ป่วยชาวจีน และ CLMV ซึ่งจะทำให้มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้น นับเป็นก้าวที่ดีของ BH ในการช่วยกระจายกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติในระยะยาว เนื่องจากรายได้ของผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า 20% ของรายได้รวม แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยตะวันออกกลางจะมีเสถียรภาพมากขึ้นก็ตาม
เคจีไอฯ คาดว่ายอดขายของ BH ใน ปี 60-61 จะเติบโต 8% และ 10% เมื่อเทียบปีต่อปี และกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 3,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน และ 4,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนหน้าตามลำดับ เนื่องจากอัตรากำไรที่แข็งแกร่งจากการที่มีผู้ป่วยที่มี intensity สูง และการที่สามารถคุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี นอกจากนี้สถานะทางการเงินก็ยังแข็งแกร่งโดยมีสถานะเงินสดสุทธิ ขณะที่ปีนี้ไม่มีแผนการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ
บทวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ ระบุว่า ความเสี่ยงของ BH จากตะวันออกกลางเริ่มลดลง หลัง Sheikh Mohammed bin Zayed ออกคำสั่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่าชาวเอมิเรตส์ที่ถือบัตร Thiqa health insurance จะไม่จำเป็นต้องร่วมจ่ายเงิน 20% ของค่ารักษา (มีผลทันที)
ก่อนหน้านี้ ในเดือน ก.ค.59 กระทรวงสาธารณสุขของอาบูดาบี (HAAD) ออกกฏให้ผู้ป่วยที่ถือบัตร Thiqa ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล 20% กับสถานพยาบาลเอกชนในอาบูดาบี จากเดิมไม่ต้องจ่าย และ 50% สำหรับการรักษานอกอาบูดาบี (AD) ที่ไม่สามารถรักษาใน AD ได้ จากเดิม 10%
จากการประกาศในอาทิตย์ที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจนในด้านการรักษานอกประเทศ แต่เชื่อว่าการร่วมจ่าย 50% สำหรับการรักษานอกอาดูดาบีจะถูกปรับลดลงหรือยกเลิกเช่นกัน ซึ่งการร่วมจ่ายที่ประกาศออกมาในครั้งแรกส่งผลกระทบต่อลูกค้าชาว UAE ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ BH (8%) โดยผู้ป่วยชาว UAE ในไทยเป็นกลุ่มที่ต้องมีการดูแลพิเศษ ซึ่งยังไม่มีการรักษาใน UAE (คิดเป็น 300 เคส จาก 7,000 เคสของผู้ป่วยต่างชาติ)
ส่วนผลประกอบการ Q1/60 ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย BH รายงานกำไร 1.005 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% YoY จากคาดการณ์ที่ 1.05 พันล้านบาท โดยผลประกอบการเพิ่มขึ้นมาจากอัตรากำไรของ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 180bps YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง 5% YoY ลดผลของรายได้ที่ลดลง 4% YoY
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ยังแนะนำให้ "ซื้อ"หุ้น BH เพราะมองว่าการร่วมจ่ายที่ลดลงของ Thiqa จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น โดยเรายังไม่ได้รวมปัจจัยนี้เข้าไปในประมาณการ และ BH ยังมีราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง มูลค่าที่เหมาะสม 200 บาท (EV/EBITDA ที่ 22 เท่าสำหรับปี 2017F)